รีวิว Business Class บน Airbus A380 สายการบิน Singapore Airlines

สวัสดีทุกท่านครับ วันนี้ผมจะพาไปขึ้นเครื่องบิน Airbus A380 เที่ยวบินพิเศษ ของ Singapore Airlines ที่ปกติแล้ว จะไม่ได้ใช้เครื่อง A380 ขนาดใหญ่ยักษ์นี้กับเส้นทางกรุงเทพ-สิงคโปร์เลย แต่ว่าสายการบิน Singapore Airlines ได้จัดเครื่องรุ่นนี้มาบินในช่วงเทศกาลสงกรานต์ เพื่อรองรับจำนวนผู้โดยสารที่มากขึ้นในช่วงเทศกาลนี้ ระหว่างวันที่ 12-14 เมษายนที่ผ่านมา จึงถือว่าเป็นโอกาสที่ดีมากๆ ในการที่จะได้ทดลองใช้บริการบนเครื่องนกยักษ์อย่าง A380 ของ Singapore Airlines สายการบินเพื่อนบ้านของเรานั่นเอง

Singapore-Airlines-Logo
Disclosure: บทความนี้ เขียนจากประสบการณ์ตรงของผู้เขียน และไม่ได้รับการสนับสนุนใดๆ จากสายการบินหรือตัวแทนที่เกี่ยวข้อง

เที่ยวบินนี้ ผมวางแผนล่วงหน้าไว้ไม่นานมากครับ และ Singapore Airlines เองก็นำเครื่อง A380 มาใช้บินระหว่างกรุงเทพ (BKK) – สิงคโปร์ (SIN) เพียงวันละ 1 เที่ยวบิน และบินเพียงแค่ 3 วันเท่านั้น (12-14 เม.ย. ที่ผ่านมา) โดยจุดเด่นของ A380 ของสิงคโปร์แอร์ไลนส์ (SQ) ก็คือขนาดของตัวเครื่อง และจำนวนที่นั่งของชั้นพรีเมียม ที่มีสัดส่วนมากกว่าสายการบินอื่นอย่างผิดปกติเลยครับ นั่นคือ SQ ได้จัดเอาชั้นบนของเครื่องบินทั้งหมด เป็นที่นั่ง Business Class จึงทำให้เครื่องบินลำนี้มีจำนวนที่นั่ง Business Class มากถึง 86 ที่นั่ง บวกกับที่นั่งชั้น Suites ซึ่งถือเป็นคลาสสูงสุดอีก 12 ที่นั่ง และที่เหลือเป็น Economy Class อีก 311 ที่นั่ง รวมเป็นทั้งหมด 409 ที่นั่ง

Photo: Kentaro Iemoto. Creative Commons.
Singapore Airlines Airbus A380-800. Photo: Kentaro Iemoto. Creative Commons.

นอกจากนี้ ตอนนี้เครื่องบิน Airbus A380 ของ SQ บางลำ ยังได้แบ่งที่นั่ง Economy บางส่วน มาทำเป็นคลาส Premium Economy เพิ่มเติมอีกด้วย (คือเป็นที่นั่งกว้างกว่า Economy นั่งสบายมากขึ้น แต่ไม่ได้ให้บริการแบบ Business Class)

สำหรับเที่ยวบินที่ผมจะพาไปขึ้นวันนี้ เป็นเที่ยวบินสั้นๆ จากกรุงเทพ ไปสิงคโปร์ครับ แต่เป็นเที่ยวบินที่ Singapore Airlines นำเจ้า Airbus A380 ลำใหญ่ยักษ์นี้มาให้บริการเป็นการชั่วคราว และผมมีโอกาสได้ใช้บริการในชั้น Business Class ซึ่งสายการบิน Singapore Airlines มีชื่อเสียงอย่างมาก และยังได้รับรางวัล World’s Best Business Class Airlines จาก Skytrax มาสองปีซ้อนแล้วด้วย มันจะดีสมคำร่ำลือแบบนั้นหรือไม่ มาตามผมไปชมพร้อมกันครับ (แม้จะเป็นไฟลต์สั้นๆ ก็ตาม)

Flight: SQ975

Route: BKK-SIN
Date: 13 Apr 2016
Departure Time: 12:45
Arrival Time: 16:20
Duration: 2 hr 35 mins
Seat: 92A
Class: Business Class
Aircraft: Airbus A380-800
Registration: 9VSKQ

Check-in

DSC01680

การเช็กอินที่สนามบินสุวรรณภูมิของสายการบิน Singapore Airlines มีแถวแยกต่างหากไว้ที่ Row K ครับ และก็มีการแยกเคาน์เตอร์ของ Business Class เอาไว้ 2 เคาน์เตอร์เพื่อรองรับกับจำนวนผู้โดยสาร แต่ไฟลต์นี้ถึงจะเป็นช่วงสงกรานต์ (วันที่ 13 เม.ย. เลย) กลับไม่ค่อยมีผู้โดยสารบริเวณเตาน์เตอร์เช็กอินมากนัก แบบนี้ก็ลากกระเป๋าเข้าไปเช็กอินได้แบบสบายๆ เลยครับ

DSC01681

หลังจากเช็กอินแล้ว ก็จะได้รับ boarding pass พร้อมบัตร Premium Lane สำหรับผ่านขั้นตอน ตม. และ X-ray ในช่องพิเศษมาครับ ซึ่งเป็นปกติของการเดินทางด้วยชั้นพรีเมียมของทุกสายการบินที่ไม่ใช่การบินไทย ของสนามบินสุวรรณภูมิแห่งนี้อยู่แล้ว (สังเกตเลขที่นั่ง 92A นะครับ นี่เป็นเลขที่นั่งบนเครื่องบินที่มากที่สุดตั้งแต่ผมเดินทางมาเลยล่ะ)

DSC01684

หลังจากเช็กอินแล้ว ก็เดินมารอผ่านขั้นตอน ตม. และ X-ray ที่ช่อง Premium Lane ของสุวรรณภูมิได้เลย ซึ่งก็มีคิวเล็กน้อยครับ แต่ยังไงก็เร็วกว่าไปต่อคิวปกติค่อนข้างมากทีเดียว

Singapore Airlines SilverKris Lounge, Suvarnabhumi Airport

DSC01686

แม้ว่า Singapore Airlines จะทำการบินจากสนามบินสุวรรณภูมิไปยังจุดหมายปลายทางเดียวคือสิงคโปร์ แต่ว่าก็มีจำนวนไฟลต์ต่อวันมากพอที่จะมี Lounge เป็นของตัวเองที่นี่ครับ SilverKris Lounge ตั้งอยู่บริเวณ Concourse A ติดกับ KBANK WISDOM Lounge เลย และเดินไม่ไกลจากเกตที่ Singapore Airlines ใช้เดินทางมากนัก

DSC01688

พื้นที่ภายใน SilverKris Lounge มีไม่มากครับ แต่ก็จัดที่นั่งเอาไว้เพียงพอกับปริมาณผู้โดยสารของ Singapore Airlines ให้ไม่แออัดมากนัก (เพราะผู้โดยสารของสายการบินอื่นในกลุ่ม Star Alliance ส่วนมากจะไปใช้บริการ Lounge ของการบินไทยที่ใหญ่กว่า และมี facility มากกว่า) แต่เห็นเล็กๆ แบบนี้ อาหารการกินจัดเต็มใช้ได้เลยนะครับ

DSC01693
DSC01690
DSC01694

ไฟลต์นี้ผมเดินทาง 12:45 น. ครับ เลยถือโอกาสพึ่งพาอาหารกลางวันจาก SilverKris Lounge แห่งนี้ ข้าวขาหมู แกงกะหรี่ไก่ ปลาทอด ต้มยำ ติ่มซำ และปิดท้ายของหวานด้วยทับทิมกรอบไปหนึ่งชุดใหญ่เลย

DSC01698
DSC01699

ที่ดีงามมากๆ คือมีไอศกรีม HäagenDazs ให้หยิบกันได้แบบไม่อั้นด้วย มีให้เลือก 3 รสครับ แต่ส่วนที่น่าเสียดายคือ SilverKris Lounge แห่งนี้ ไม่มีห้องน้ำในตัวนะครับ ต้องเดินออกมาใช้ห้องน้ำของสนามบินสุวรรณภูมิด้านนอก (แอบเดินไกลด้วย) ซึ่งสร้างความไม่สะดวก และไม่มีความเป็นส่วนตัวเอาเสียเลย ผิดจาก Lounge อื่นๆ ในสนามบินแหง่นี้ ที่มักจะมีห้องน้ำในตัวกันทั้งนั้น

Boarding

DSC01701

ถึงเวลาบอดดิ้ง ผมเดินมาที่เกต C3 ก็พบกับนกยักษ์ Airbus A380-800 ของสายการบิน Singapore Airlines จอดรออยู่ครับ ซึ่งหาดูได้ไม่ง่ายนักกับ A380 ของ SQ ที่สนามบินสุวรรณภูมิแห่งนี้

DSC01703

สายการบิน Singapore Airlines ได้แบ่ง Priority Lane เอาไว้สำหรับผู้โดยสารในชั้น Suites / First Class / Business Class และสมาชิก PPS Club ขึ้นเครื่องก่อนเป็นกลุ่มแรกครับ รอบนี้ผมเดินมาถึงเกตช้าไปนิดหน่อย มาถึงก็เดินขึ้นได้เลย เพราะเริ่มการบอดดิ้งไปสักพักแล้ว

On-board

Singapore_Air_Airbus_A380_92A

เลขที่นั่งของผมคือ 92A ครับ ซึ่งเป็นเลขที่นั่งบนเครื่องบินที่สูงมากๆ จนแอบสงสัยว่ามันอยู่ตรงไหนของเครื่องบินกันแน่ ก็ได้ข้อสรุปว่า เครื่อง A380 ของ SQ นี่จัดเอาชั้นบนของเครื่องบินทั้งหมดเป็น Business Class ครับ และเลขที่นั่งในส่วนท้ายของชั้นบน เป็นเลขที่กระโดดมาเริ่มที่ 91 เฉยเลย เป็นการเรียงเลขที่นั่งที่ประหลาดดีแท้

DSC01744

 Seat Features

ที่นั่ง Business Class ของ SQ A380 จัดเรียงแบบ 1-2-1 ตลอดทั้งลำครับ และใช้ที่นั่งเป็นลักษณะเก้าอี้โซฟาขนาดใหญ่ … ใหญ่มากๆ กว้างมากๆ อลังการมากๆ แบบนี้เลย

DSC01706

ที่นั่ง Business Class ตัวนี้ ถือว่าเป็น Business Class ที่กว้างที่สุดในโลกเลยก็ว่าได้ครับ มีความกว้างมากถึง 34 นิ้ว หรือกว้างกว่า Royal First Class (ที่กว้าง 26.5 นิ้ว) ของการบินไทยเสียอีก พอลงไปนั่งแล้ว “เหลือที่เยอะมาก” …. มากขนาดไหน ลองสังเกตตำแหน่งของ seatbelt นะครับ ว่ามันต้องโผล่ออกมาจากกลางเก้าอี้เลย ไม่เช่นนั้นจะไม่สามารถคาดได้อย่างปลอดภัยครับ

DSC01710

เหลือที่ไว้วางหมอนใบใหญ่ได้สบายๆ หรือต่อให้ตัวใหญ่กว่านี้อีกเป็นเท่า ก็ยังเหลือๆ ครับ ด้านบนมีหมอนรองคอชิ้นใหญ่ ที่สามารถเลื่อนปรับความสูงได้ ดูอลังการเกินกว่าจะเป็น Business Class อยู่เหมือนกัน

DSC01715
DSC01717

ด้านหน้า เป็นหน้าจอความบันเทิงขนาด 15.4 นิ้ว ควบคุมผ่านรีโมทคอนโทรลที่ให้มาบริเวณที่พักแขน ด้านข้างของหน้าจอเป็นช่องเอนกประสงค์ต่างๆ เช่น ปลั๊กไฟแบบ Universal, ช่องเสียบชาร์จ USB, ช่องวางของ, กระจกพร้อมไฟสำหรับแต่งหน้า

DSC01724

ถัดลงมาด้านล่าง เป็นพื้นที่วางขาที่เหลือเยอะมากกกก ทั้งกว้าง ทั้งลึกครับ ส่วนช่องด้านบน เอาไว้สำหรับวางขาตอนที่เราปรับเก้าอี้เอนลงมาแล้ว หรือเมื่อปรับเป็นเตียงนอน ที่เดี๋ยวจะทำให้ดูต่อไป

DSC01718
DSC01720

มาดูด้านข้างที่นั่งครับ ฝั่งหนึ่งจะเป็นช่องเก็บของ ที่เป็นตำแหน่งของโต๊ะพับได้ พร้อมที่วางแก้วน้ำ และช่องเก็บนิตยสาร

DSC01721

อีกด้านนึง เป็นปุ่มปรับที่นั่งครับ ซึ่งปรับได้น้อยมาก 555 คือปรับได้แค่เอนขึ้นลง และปรับที่รองน่องขึ้นลงเท่านั้นครับ ส่วนปุ่มอื่นๆ คึอปุ่มเรียกพนักงาน ปุ่มเปิดปิดไฟ และปุ่ม Do not Disturb

DSC01737

ที่รองน่อง สามารถปรับขึ้นมา และพับที่วางเท้าออกมาได้ครับ โดยที่นั่งแบบนี้ ถึงแม้จะกว้าง แต่ก็ปรับเอนได้ไม่มากนัก เพราะหากจะปรับเป็นท่านอน ต้องลุกจากที่นั่ง และพับพนักพิงลงมาทั้งอัน ถึงจะเปลี่ยนเป็นเตียงนอนราบได้ ไม่ใช่ที่นั่งแบบปรับเอนลงไปเรื่อยๆ จนเอนราบ

DSC01711

ทุกที่นั่ง จะมีชุดหูฟังแบบ Noise cancellation พร้อมเมนูอาหารวางเตรียมไว้ให้ ซึ่งที่นั่งแบบกว้างพิเศษอันนี้ มีช่องเสียบหูฟังให้ทั้งด้านซ้ายและขวาของที่นั่งเลยครับ ถนัดจะใช้ด้านไหนก็ใช้ได้เลย สะดวกดีมากๆ

DSC01712

เครื่องดื่ม welcome drink ที่มีให้เลือกเยอะเลยครับ ทั้งน้ำผลไม้ ค็อกเทล ม็อกเทลที่ไม่มีแอลกอฮอล์ และแชมเปญ

In-flight Cuisine

DSC01732

หลังจากเครื่องขึ้นได้ไม่นาน เนื่องจากเป็นไฟลต์ระยะสั้นๆ อาหารจึงมาเสิร์ฟอย่างรวดเร็วเลยครับ บรรจุรวมทุกอย่างในถาดเดียว และวางให้แบบไม่ต้องใช้ผ้าปูโต๊ะ ผมเลือกรับเมนูข้าวผัดกระเทียม กุ้งสมุนไพร เสิร์ฟมาพร้อมกับ สลัดอกเป็ดรมควัน ขนมปัง เนย และของหวาน

DSC01733
DSC01734

แม้ว่าจะเป็นการเสิร์ฟทุกอย่างมาพร้อมกันหมด ไม่ได้มีขั้นตอนอะไรซับซ้อน แต่โดยรวมแล้วอาหารอร่อยเลยล่ะครับ เห็นแบบนี้ปริมาณไม่น้อยเลย (ยิ่งบวกกับที่ทานจากใน Lounge มาก่อนแล้ว ยิ่งแน่นเข้าไปใหญ่)

DSC01736

หน้าจอความบันเทิง 15.4 นิ้ว (ไม่ทัชสกรีน) โดยรวมอินเทอร์เฟซดูดีมาก และควบคุมผ่านรีโมตด้วยเมนูที่เข้าใจง่ายมากๆ ครับ หนังใหม่ และมีให้เลือกชมเยอะ (แต่สายการบินที่ไม่ใช่ของไทย ก็ไม่ค่อยมีซับไทยแหละนะ) ความจริงแล้วเที่ยวบินนี้สั้นเกินไปที่จะรับชมอะไรทั้งสิ้นครับ

Flatbed

DSC01745

เหตุที่เก้าอี้มีขนาดใหญ่มากๆ ก็เพราะว่ามันสามารถแปลงร่างมาเป็นเตียงนอนได้ครับ โดยที่เราต้องปรับพนักที่นั่งขึ้นมาเป็นตำแหน่งตรงก่อน และลุกจากที่นั่งมาดึงสลักด้านหลังพนักพิง เพื่อพับพนักพิงลงมาทั้งอัน เท่านี้ที่นั่งของเราก็กลายเป็นเตียงนอนราบ โดยที่ด้านหลังพนักพิงนี้ มีการติดผ้าปูที่นอนเอาไว้แล้ว ไม่ต้องปูเตียงอะไรเลย แค่แกะผ้าห่มนวมที่ห่อใส่ถุงพลาสติกไว้ ก็พร้อมนอนพักผ่อนได้ทันที

DSC01747

การปรับที่นั่งมาเป็นเตียง โดยที่ต้องลุกมาพับพนักพิงแบบนี้ จริงๆ ก็ไม่ค่อยสะดวกหรอกครับ เพราะต้องปรับที่นั่งให้ตรงก่อน และลุกจากที่นั่งมาพับ แถมต้องลุกมาพับเก็บขึ้นมาเป็นที่นั่งอีกครั้งตอนเครื่องจะลงอีกด้วย แต่ก็ต้องยอมรับว่า ด้วยความกว้างของที่นั่ง พอพับเป็นเตียงแล้ว ก็มีพื้นที่เยอะกว่าที่นั่งแบบปรับ flatbed ของสายการบินอื่นๆ อยู่มากทีเดียว และตัวผ้าปูที่นอน รวมถึงหมอนกับผ้าห่มนวมก็นิ่มสบายมากๆ ด้วย

DSC01748

บริเวณปลายเท้า ต้องวางไว้ตามแนวในช่องใต้จอภาพครับ (แต่ไม่แคบเลยนะ) ทำให้เวลานอนต้องนอนเฉียงๆ เป็นแนวทะแยงกับเตียง โดยรวมแล้วมีพื้นที่ค่อนข้างมาก เมื่อเทียบกับ flatbed ของ Business Class สายการบินอื่นๆ ครับ ยกเว้นคนที่มีส่วนสูงค่อนข้างมาก อาจจะประสบปัญหากับการนอนเป็นแนวทะแยงกับเตียงแบบนี้

DSC01749

เสียดายเหมือนกันครับ ที่ไฟลต์นี้สั้นมากๆ และก็ไม่มีโอกาสได้พักผ่อนกันแบบยาวๆ บนที่นั่ง (หรือควรเรียกว่าที่นอน) สบายๆ บนเครื่องบินแบบนี้ เท่าที่ทดลองดู ถ้าได้ที่นั่งแบบนี้กับเที่ยวบินยาวๆ ก็จะหลับได้ฟินและสบายไปทั้งไฟลต์แน่ๆ ครับ

In-flight WiFi

DSC01730

บนเครื่องบินแบบ Airbus A380 ของ SQ นี่มีติดตั้ง In-flight WiFi ด้วยนะครับ แต่ดูราคาแล้ว แพงมหาโหด คิดเป็น MB คล้ายกับการบินไทย มีเพียงสองแพ็กคือ 15MB $6.99 และ 30MB $12.99 … ไม่ไหวจริงๆ

Lavatory

DSC01738

มาดูห้องน้ำบ้างครับ อันนี้คือห้องที่อยู่ด้านท้ายสุดของเครื่องบิน ถือว่าไม่แคบ สะอาด และมีเครื่องอำนวยความสะดวกต่างๆ อย่างครบถ้วน ตกแต่งด้วยสีอ่อนทั้งหมด

DSC01739

ที่ผมชอบมากคือมันมีลิ้นชัก แปรงสีฟัน ชุดโกนหนวด และ หวี ใส่มาให้แบบเต็มๆ ทุกช่อง แม้ว่า Singapore Airlines จะไม่มีชุด amenity kit ให้กับผู้โดยสารชั้น Business Class เลย (ไม่ว่าจะบินยาวนาน หรือไกลแค่ไหนก็ตาม) แต่สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ก็จัดมาให้อย่างครบถ้วนในนี้ครับ

DSC01743

น้ำหอม โลชั่นต่างๆ เป็นของ L’Occitane ทั้งหมดครับ ส่วนขวดฟ้าๆ ที่เห็นคือน้ำยาบ้วนปาก ที่บรรจุมาใส่ขวดแบบปั๊ม ใช้ยากดีครับ 555

Wrap Up

ไม่ผิดหวังเลยครับ กับที่นั่ง Business Class ที่กว้างที่สุดในโลก ของ Singapore Airlines ที่ให้ความสบายได้แบบสุดมากๆ แม้ว่าจะเหมาะกับเที่ยวบินระยะไกลๆ มากกว่าเที่ยวบินพิเศษที่ผมรีวิววันนี้ก็ตาม และโดยปกติ Singapore Airlines ก็ไม่ได้ใช้ Airbus A380 กับเส้นทางกรุงเทพ-สิงคโปร์อยู่แล้ว (ปกติจะใช้ Boeing 777 ที่ใช้ที่นั่ง Business Class แบบ recliner ธรรมดาทั่วไป) จึงขอแนะนำว่า ถ้าใครได้มีโอกาสเดินทางด้วยเส้นทางไกลๆ ออกจากสนามบินสิงคโปร์ชางงี และได้ใช้ Business Class บน Airbus A380 ในเส้นทางนั้นๆ ก็จะได้พบกับความสบายแบบสุดๆ ของที่นั่งที่กว้างมากๆ แบบนี้เลยครับ

ในส่วนของการบริการด้านอื่นๆ ของเที่ยวบินนี้ ส่วนตัวผมว่าอยู่ในระดับมาตรฐาน ทั่วๆ ไป ไม่ได้มีอะไรโดดเด่นมาก อาหารมีตัวเลือกให้ค่อนข้างมาก (และก็อร่อยถูกปากคนเอเชียใช้ได้) จุดเด่นที่สำคัญคงเป็นเรื่องของที่นั่งมากกว่า ซึ่งหากผมมีโอกาสได้เดินทางด้วย SQ ในเส้นทางที่ไกลกว่านี้ ก็คงจะสามารถบอกได้ถึงการบริการได้ดีกว่ารีวิวไฟลต์สั้นๆ แบบวันนี้

สนนราคาค่าตัว Business Class เส้นทางกรุงเทพ-สิงคโปร์ ไปกลับอยู่ที่ประมาณ 27,900 บาทครับ

พบกันใหม่รีวิวหน้า สวัสดีครับ

DSC01751

บทความโดย: อู๋ @spin9
www.spin9.me

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save