วันนี้ผมพาไปนั่งชั้นธุรกิจ Royal Silk Class ของการบินไทยครับ แต่ไม่ใช่ Royal Silk Class ธรรมดาทั่วไป เพราะมันเป็น Royal Silk Class ที่อยู่ในช่วง “ทดลอง” การบริการรูปแบบใหม่ของการบินไทย ที่มีความเปลี่ยนแปลงจากชั้นธุรกิจดั้งเดิมอย่างมากทีเดียว
เท่าที่ผมทราบ ตอนนี้ การบินไทย กำลังอยู่ในช่วงทดลองการบริการบนชั้นธุรกิจ Royal Silk Class ใหม่ครับ โดยเริ่มจากการทดลองบนเที่ยวบิน TG676 / 677 เส้นทาง กรุงเทพ – โตเกียว (นาริตะ) ที่ใช้เครื่องบินแบบ Airbus A380 เส้นทางเดียวก่อน (เพิ่งเริ่มทดลองมาได้ประมาณ 1 เดือน) และได้ขยายไปยัง TG910 / 911 เส้นทาง กรุงเทพ – ลอนดอน เพิ่มอีก 1 เส้นทางแล้วในเดือนพฤศจิกายน ดังนั้น ใครที่มีโอกาสได้ใช้บริการ Royal Silk Class ในเที่ยวบินดังกล่าวช่วงนี้ ก็จะได้รับการบริการรูปแบบใหม่ทั้งหมดเลยครับ
Disclosure: บทความนี้ เขียนจากประสบการณ์ตรงของผู้เขียน และไม่ได้รับการสนับสนุนใดๆ จากสายการบินหรือตัวแทนที่เกี่ยวข้อง
ผมได้ยินข่าวก็พลาดไม่ได้ที่จะหาไฟลต์เดินทางมาทดลองบริการรูปแบบใหม่นี้เช่นกัน โดยได้ทำการบินในไฟลต์ TG676 / 677 เส้นทางกรุงเทพ – โตเกียว (นาริตะ) เมื่อปลายเดือนตุลาคมที่ผ่านมา เราไปชมบริการใหม่ของการบินไทยพร้อมกันเลยครับ
Flight: TG676
Route: BKK-NRT
Date: 29 Oct 2015
Departure Time: 08:00
Arrival Time: 15:50
Duration: 5 hr 50 mins
Seat: 24B
Class: Royal Silk Class
Aircraft: Airbus A380-800
Registration: HS-TUE (ศรีราชา)
เที่ยวบินขาไป TG676 ออกเดินทางจากสุวรรณภูมิเวลา 8 โมงเช้าครับ ก็เลยต้องตื่นเช้า แหกขี้ตามาสนามบินกันตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง แต่ความจริงผมว่าไฟลต์ไปญี่ปุ่นที่ออกเช้านี่สบายกว่าไฟลต์กลางคืนค่อนข้างมากครับ เพราะเที่ยวบินไม่ได้ยาวมาก (ไม่ถึง 6 ชั่วโมง) ถ้าบินไฟลต์กลางคืนก็จะได้นอนไม่เต็มที่ แถมยังไปถึงญี่ปุ่นเช้ามืดอีก ให้ลุยต่อทั้งวันก็ร่างคงจะพังแน่ๆ ผมเลยชอบไฟลต์ญี่ปุ่นช่วงเช้าแบบนี้มากกว่าครับ
Check-in
การเช็กอินของ Royal Silk Class การบินไทยที่สนามบินสุวรรณภูมิ สามารถมาเช็กอินที่เคาน์เตอร์ของ Royal Silk Class ที่ถูกจัดแยกเอาไว้ต่างหากได้เลยที่บริเวณ Row A ครับ เช้าๆ แบบนี้ผู้โดยสารไม่เยอะมาก แทบไม่ต้องรอคิวเลย
เคาน์เตอร์เช็กอินจะมีเก้าอี้สำหรับนั่งรอด้วย ขั้นตอนdการเช็กอินก็รวดเร็วดี และหลังจากได้บอดดิ้งพาส และ กรอกใบ ตม.แล้ว ก็สามารถเดินมาที่บริเวณท้าย Row A เพื่อผ่านขั้นตอนการ X-Ray และด่าน ตม. ที่ช่องพิเศษ Fast Track ได้เลย คนน้อยมากครับ
เพียงไม่กี่นาทีหลังจากเดินทางถึงสนามบิน ก็หลุดเข้ามาอยู่ด้านในได้แล้ว สะดวก รวดเร็วดีนะครับ
Royal Silk Lounge, Suvarnabhumi Airport
ผู้โดยสารชั้นธุรกิจ Royal Silk Class ของการบินไทย สามารถเลือกใช้บริการห้องรับรองหรือ Lounge ได้หลากหลายแห่งมากครับ มีกระจัดกระจายอยู่ใกล้กับ Gate ที่เราจะต้องเดินทางทั่วทั้งสุวรรณภูมิเลย อย่างกรณีนี้ TG676 ออกเดินทางจากเกต C3 ก็ไปเลือกใช้ Royal Silk Lounge ของ Concourse C ได้เลย พอถึงเวลาบอดดิ้ง ก็ไม่ต้องเดินไกลมาก
ภายใน Royal Silk Lounge เวลาเช้าๆ แบบนี้ ก็มีคนมาใช้บริการไม่แน่นครับ หาที่นั่งที่เป็นมุมส่วนตัวได้ง่าย และมีหลายโซนให้เลือกนั่ง ว่าจะนั่งโซฟาแบบสบายๆ หรือจะนั่งแบบมีโต๊ะสำหรับทานอาหารเช้า ก็เลือกเอาตามสะดวกเลย
ไลน์อาหาร ก็มีหลากหลายนะครับ ทั้งอาหารเช้าแบบไทยๆ โจ๊กไก่ หรือข้าวพร้อมกับอาหารไทย ข้าวต้มมัด หรือแบบฝรั่งพวกขนมปัง ไข่ดาว แฮม ไส้กรอก ก็มีให้เลือกเยอะอยู่
ผมเลือกมาทานไม่มากนัก เพราะจะได้ไปทานต่อบนเครื่องบินที่ได้ยินว่าบริการรูปแบบใหม่ จัดเต็มเรื่องอาหารการกินอย่างมากเลยครับ
Boarding
ถึงเวลาบอดดิ้งที่เกต C3 เดินไม่ไกลจากเลานจ์ ก็ขึ้นเครื่องได้เลยครับ มองออกไปเห็นเจ้านกยักษ์ Airbus A380-800 จอดรอที่เกตอยู่แล้ว (สุวรรณภูมิครับ คุณต้องเช็ดกระจกสนามบินบ้างนะ…)
ผู้โดยสาร Royal First Class, Royal SIlk Class และสมาชิกบัตรทอง Star Alliance ถูกเรียกให้ขึ้นเครื่องเป็นกลุ่มแรกครับ จากตรงนี้ก็เดินชิลๆ ขึ้นเครื่องได้เลย โดยจะถูกแยกให้ขึ้นไปบริเวณชั้นบนของเครื่องบิน ที่เป็นพื้นที่ของชั้นธุรกิจ Royal Silk Class (เครื่องบินแบบ Airbus A380 เป็นเครื่องบินสองชั้น ยาวตลอดทั้งลำ จุผู้โดยสารได้มหาศาล และมีพื้นที่ภายในค่อนข้างมาก จึงน่าจะเป็นเหตุผลที่การบินไทย เลือกเอาเที่ยวบินที่ใช้ A380 มาทดลองบริการรูปแบบใหม่ก่อนเที่ยวบินทีใช้เครื่องบินแบบอื่นๆ นะครับ)
On Board
เดินขึ้นมาชั้นบนของเครื่องบิน ก็จะมีพนักงานรอต้อนรับอยู่ครับ ที่นั่งขาไปของผมคือ 24B ซึ่งที่นั่งในชั้น Royal Silk Class ของ Airbus A380 จะคอนฟิกแบบ 1-2-1 ทุกแถว แต่ว่าที่นั่งคู่กลางจะถูกสลับระหว่างที่นั่งห่างกัน กับแบบชิดกัน (สำหรับคนที่เดินทางเป็นคู่ จะได้เลือกแบบนั่งชิดกันได้นั่นเองครับ) ส่วนถ้าเดินทางเดี่ยวๆ แบบผมนี่ก็เลือกที่นั่งริมหน้าต่างไปเลย ให้ความเป็นส่วนตัวค่อนข้างมาก โดยที่นั่งริมหน้าต่าง ก็จะมีแบบ เก้าอี้อยู่ติดหน้าต่างเลย และมีโต๊ะข้างๆ ติดทางเดิน (A และ K) กับแบบเก้าอี้อยู่ติดทางเดิน และโต๊ะอยู่ริมหน้าต่าง (B และ J) สลับกันไปเช่นกัน
ทุกที่นั่ง สามารถปรับเอนนอนได้ราบ 180 องศานะครับ ซึ่งเป็นแบบมีช่องสอดขาบริเวณใต้จอภาพหน้าที่นั่ง ส่วนพื้นที่ของโต๊ะด้านข้าง ก็มีที่ว่างเหลือเยอะมากๆ ไม่อึดอัดครับ
การปรับเปลี่ยนบริการรูปแบบใหม่ เริ่มต้นเห็นได้จากตรงนี้ครับ ทุกที่นั่งเมื่อขึ้นเครื่องมาแล้ว จะมีขนมชิ้นเล็กๆ ในกล่องกระดาษสีทองวางไว้คู่กับดอกกล้วยไม้ และผ้าเย็น (ผมไม่แน่ใจว่าจริงๆ มันเป็นผ้าร้อนหรือเปล่า เพราะขึ้นเครื่องมา มันก็เย็นแล้ว แต่มันก็ไม่ได้เย็นจัดเหมือนผ้าเย็นทั่วไป) จากนั้น พนักงานต้อนรับก็จะมาถามเครื่องดื่ม Welcome Drink ทันที ซึ่งแน่นอนว่าต้องเป็นแชมเปญอยู่แล้ว
แก้วแชมเปญ ถูกปรับปรุงใหม่ ให้เป็นขนาด full size เลยครับ ชนิดที่ผู้โดยสาร Royal First Class เห็นอาจจะต้องมีงอนทีเดียว เพราะแก้วแชมเปญ Dom Pérignon ของ Royal First Class ยังไม่ดูดีขนาดนี้เลย
ส่วนที่ถูกปรับเปลี่ยนหลักๆ เลยของบริการใหม่นี้ คือส่วนของเมนูอาหาร และรูปแบบการเสิร์ฟอาหารครับ ที่จะใช้เมนูหลายรูปแบบขึ้น รวมแล้วมีรายการอาหารและของหวานทั้งหมดมากกว่า 24 รายการ ซึ่งการบินไทยเรียกว่า “สำรับอาหาร” ที่เดี๋ยวจะได้เห็นหน้าตากันอย่างละเอียดในรีวิวนี้ครับ
Seat Features / Amenities
ที่นั่ง Royal Silk Class บนการบินไทย Airbus A380 มีขนาดปานกลางครับ ไม่ได้กว้างใหญ่มาก แต่ก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกอึดอัดอะไร มีที่พักแขนทั้งสองข้างแบบ fix ตำแหน่ง และมีปุ่มปรับที่นั่งอย่างละเอียด พร้อมฟังก์ชันนวดหลังอยู่ที่แผงด้านข้างที่วางแขน และรีโมทสำหรับควบคุมหน้าจอความบันเทิง
ใต้ที่วางแขน เป็นช่องสำหรับเก็บของ โดยการบินไทยได้เตรียมหูฟังชนิด on ear แบบ noise cancellation เอาไว้ให้ พร้อมกับน้ำดื่มอีก 1 ขวด (ตอนนี้ใช้ของ Purra)
ด้านข้าง เป็นโต๊ะไม้ มีขนาดเพียงพอที่จะวางอาหารว่างและแก้วเครื่องดื่มได้โดยไม่ต้องเปิดโต๊ะอาหารออกมาให้เกะกะ และยังเป็นตำแหน่งของที่เก็บนิตยสารด้วย ด้านข้างนี้ยังมีโคมไฟสำหรับอ่านหนังสือ ที่สามารถปรับระดับความสว่างได้ด้วยครับ
มองไปด้านหน้า เจอกับหน้าจอความบันเทิงขนาด 16 นิ้ว ช่องสอดขาตอนปรับเอนนอนราบใต้จอภาพ ส่วนด้านข้างจะเป็นโต๊ะอะลูมิเนียมขนาดใหญ่พับเอาไว้อยู่ เด่นสะดุดตามากเกินไปนิด
ย้อนกลับมา เจอกับปลั๊กไฟแบบ Universal 1 จุดด้านข้างที่นั่งครับ สามารถใช้เสียบชาร์จอุปกรณ์ต่างๆ ระหว่างเดินทางได้ตลอดทั้งไฟลต์
ช่องสอดขาใต้จอภาพหน้าที่นั่ง มีหน้าตาแบบนี้ครับ ถ้าอยู่ในตำแหน่งนั่งตรงอยู่ ก็สามารถวางเท้าได้ในตำแหน่งด้านล่าง ถ้าไม่ถึงก็สามารถกดเลื่อนที่นั่งไปด้านหน้าได้นิดหน่อย ส่วนพอปรับนอนราบแล้ว ขาก็จะไปสอดอยู่ในช่องด้านบนแทน
กระเป๋า amenities ที่ให้มากับการบินไทย Royal Silk Class ขาไปนี้ เป็นของ THANN ครับ โดยที่ด้านในก็ประกอบไปด้วยอุปกรณ์ช่วยอำนวยความสะดวกต่างๆ เช่น ผ้าปิดตา ที่อุดหู ชุดแแปรงสีฟัน หวี โลชั่น ถุงเท้าสำหรับใส่บนเครื่องบิน เป็นต้น และยังมีรองเท้าผ้าสำหรับใส่บนเครื่องบินวางไว้ให้ต่างหากทุกที่นั่งอีกด้วย
เข็มขัดนิรภัยของชั้นธุรกิจ Royal SIlk Class บนการบินไทย Airbus A380 จะมีความแตกต่างจากคลาสอื่นๆ เลยครับ เพราะเป็นเข็มขัดนิรภัยแบบสามจุด หรือเป็นแบบเดียวกับที่เราใช้ในรถยนต์เลย คือจะมีอีก 1 เส้นมาพาดขวางลำตัวเราด้วย โดยต้องคาดเมื่อเครื่องบินขึ้นและลงครับ อาจจะเพิ่มความอึดอัดนิดหน่อย แต่สามารถที่จะถอดเฉพาะเส้นนี้ออกได้ ให้เหลือเฉพาะที่เอว เมื่อเครื่องบินขึ้นไปรักษาระดับความสูงได้แล้ว
1st Meal
มาดูการบริการรูปแบบใหม่ของการบินไทยกันครับ อย่างที่บอกไปว่า ทีเด็ดของการปรับปรุงรูปแบบการบริการของ Royal Silk Class ใหม่ (ที่ยังคงอยู่ในช่วงทดลอง) อยู่ที่เรื่องของอาหารเป็นหลัก ซึ่งหลังจากที่เครื่องบินไต่ระดับความสูงได้แล้ว พนักงานต้อนรับก็จะมาเสิร์ฟของทานเล่นเลยทันที พร้อมเครื่องดื่มที่ได้เลือกเอาไว้ก่อนที่เครื่องบินจะขึ้น
ถั่วนานาชนิด มาเสิร์ฟพร้อมแชมเปญ (อีกหนึ่งแก้ว) เรียกน้ำย่อยกันก่อนเลยครับ
อาหารจานหลัก (ต้องนับเป็นมื้อเช้า) ถูกเสิร์ฟตามมาครับ ซึ่งผมเลือกเป็นข้าวหน้าปลาไหล สังเกตว่า อาหารไม่ได้ถูกเสิร์ฟเป็นถาด และมีทุกอย่างรวมๆ กันเหมือนกับเมื่อก่อนแล้ว แต่จะมาเป็นจานแยกกันทั้งหมด และยังใช้ถ้วยชามแบบใหม่ด้วย จัดเต็มมาทั้งปริมาณ และความสวยงามครับ จานนี้เสิร์ฟมาพร้อมกับน้ำมะนาวอัญชัน ที่ขึ้นชื่อของการบินไทย
ที่ผมชื่นชอบคือ มีการปรับปรุงคุณภาพของอาหารอย่างเห็นได้ชัด ที่เห็นนี่อร่อยมากครับ และข้าวก็อุ่นร้อนมาแบบพอดีๆ ไม่มีส่วนที่แข็งจนทานไม่ได้ ปลาไหลก็ชิ้นใหญ่ และให้มาในปริมาณที่เหมาะสมเลย
ขนมหวาน เป็นทับทิมกรอบ เสิร์ฟมาในแก้วสวยงาม น่าเสียดายที่น้ำแข็งก้อนใหญ่ไปนิด และโดยรวมจืดไปหน่อย แต่ก็เย็นสดชื่นปิดท้ายมื้อเช้าได้ดีทีเดียว
Flat Bed
จริงๆ ไฟลต์เช้าของญี่ปุ่นแบบนี้ ไม่ได้รู้สึกอยากนอนหรอกครับ แต่ผมก็ได้ปรับเอนหลังเพื่อความสบาย แล้วก็พบว่า บริเวณบานพับของโต๊ะตัวใหญ่ด้านข้างที่นั่ง มีตำแหน่งที่เบียดๆ กับเข่าอยู่บ้างเหมือนกัน ถ้านอนราบนี่ต้องจัดท่ากันเล็กน้อย
หมอนและผ้าห่มนวม มีวางไว้ให้บนทุกที่นั่งตั้งแต่ขึ้นเครื่องเลยนะครับ ถ้าใครอยากจะเอนหลังพักผ่อน ก็สามารถปรับที่นั่งมาเป็นท่านอน ราบได้แบนสนิท 180 องศา ไฟลต์กลางวันแบบนี้ ใส่ผ้าปิดตา ที่อุดหู ก็หลับได้ไม่ยาก เท่าที่สังเกตดู ก็หลับกันไปเกินครึ่งเลยทีเดียว
Lavatory
ห้องน้ำในชั้นธุรกิจ Royal SIlk Class ของการบินไทย Airbus A380 มีทั้งหมด 4 ห้องครับ คือด้านหน้าสุด 2 ห้อง และบริเวณด้านหลังที่นั่งแถว 24 อีก 2 ห้อง ซึ่งห้องหน้าสุดจะใหญ่กว่านะครับ ส่วนห้องที่ถ่ายภาพมานี้ เป็นห้องด้านหลัง จริงๆ ก็ไม่ได้แคบอะไรมาก แต่ก็ไม่ได้มีอะไรโดดเด่นเป็นพิเศษครับ การบินไทยยังคงรักษามาตรฐานความสะอาดได้เป็นอย่างดี โดยมีพนักงานเข้าไปสำรวจและทำความสะอาดเป็นระยะๆ ตลอดเที่ยวบิน
2nd Meal
จานเรียกน้ำย่อย ถูกเสิร์ฟมาแบบเซอร์ไพรส์ครับ เพราะจานนี้จะไม่อยู่ในเมนูอาหารเลย (พนักงานต้อนรับแจ้งเองเลยว่า เป็นจานเซอร์ไพร์สให้ผู้โดยสาร) เห็นหน้าตาแบบนี้ มันคือ Vegetable Caviar ครับ สวยงาม อร่อย และเรียกน้ำย่อยได้ดีมากทีเดียว
มื้อนี้ มาเป็น “สำรับ” เลยครับ นั่นคือเราสามารถเลือกอาหารมาประกอบเองได้ 4 อย่าง (แน่นอนว่าผู้โดยสารแต่ละคนก็จะเลือกไม่เหมือนกัน) อย่างจานนี้ ก็มียำหมูย่าง มัสมั่นเนื้อ ต้มยำทะเล และ ไชโป๊ผัดไข่ เสิร์ฟพร้อมข้าวสวยร้อนๆ และพริกน้ำปลา ทั้งหมดเอามารวมอยู่ในถาดเดียวกัน ดูไม่ค่อยคุ้นตากับมื้ออาหารของการบินไทยดั้งเดิม
ยืนยันถึงคุณภาพได้ครับ ว่า”อร่อยทุกจาน” และให้ปริมาณที่เยอะอย่างเหลือเฟือ รวมถึงสามารถขอเพิ่มได้ด้วยถ้าชื่นชอบจานไหนเป็นพิเศษ (และชอยส์นั้นยังไม่หมด) ขอใช้คำว่า รสชาติดีจนน่าตกใจเลยดีกว่า เหนือความคาดหมายครับ
ของหวานปิดท้าย เป็นไอศกรีมลิ้นจี่ เสิร์ฟพร้อมผลไม้สดครับ
และอย่างที่บอกไปครับ ว่าการบริการในรูปแบบใหม่นี้ ยังอยู่ในช่วงทดลองอยู่ พนักงานต้อนรับก็มาสอบถามถึงความพึงพอใจ และให้กรอกแบบสอบถามเล็กน้อย เพื่อเอาไปปรับปรุงการให้บริการต่อไป ซึ่งเดี๋ยวผมจะสรุปตอนท้ายนะครับ ว่ามันมีอะไรดีขึ้นบ้าง และอะไรที่ยังน่าปรับปรุงอีกบ้าง
Narita Airport Arrival
เกือบๆ 6 ชั่วโมง เราก็เดินทางมาถึงสนามบินนาริตะ ประเทศญี่ปุ่นครับ แทบจะไม่ได้หลับบนเครื่องเลยสำหรับไฟลต์นี้ เมื่อเครื่องบินจอดแล้ว การบินไทยก็จะเปิดทางให้กับผู้โดยสาร Royal First Class ที่อยู่ส่วนหน้าสุดของเครื่องได้ลงก่อนครับ จึงตามด้วยชั้นธุรกิจ Royal Silk Class ทะยอยตามออกมา
จากตัวเครื่อง ถ้าเป็นไฟลต์นาริตะนี่ต้องทำใจก่อนเลยนะครับ เพราะสะพานเทียบท่าของเกตที่รองรับ Airbus A380 ได้ของสนามบินนี้ จะอยู่ค่อนข้างไกลจากด่านตรวจคนเข้าเมืองครับ เดินไกลแน่นอนสำหรับไฟลต์นี้ เมื่อผ่านด่าน ตม. แล้ว มาถึงสายพานรับกระเป๋า ก็จะเริ่มทะยอยออกมาพอดี ไม่ต้องรอนานมาก (เพราะเดินมาตั้งไกล เสียเวลามากพอแล้ว) ซึ่งกระเป๋าของผู้โดยสาร Royal Silk Class ก็จะถูกจัดลำดับเป็น Priority ออกมาก่อน Economy Class ครับ เป็นอันสิ้นสุดการให้บริการในเที่ยวบินขาไป ของการบินไทยไฟลต์นี้ เดี๋ยวเราไปชมขากลับกันต่อนะครับ
Flight: TG677
Route: NRT-BKK
Date: 1 Nov 2015
Departure Time: 17:59
Arrival Time: 22:21
Duration: 6 hr 22 mins
Seat: 12A
Class: Royal Silk Class
Aircraft: Airbus A380-800
Registration: HS-TUB (มัญจาคีรี)
เที่ยวบินขากลับ ผมเดินทางด้วย TG677 ที่ใช้เครื่องบิน Airbus A380 อีกครั้ง (เพื่อทดลองบริการใหม่) โดยเดินทางออกจากสนามบินนาริตะ ในเวลา 17:30 น. ในช่วงเย็น แต่เที่ยวบินนี้ล่าช้าเล็กน้อย ได้ออกเดินทางจริงในเวลาประมาณ 17:59 น.ครับ
Check-in
การเช็กอินของ Royal Silk Class ที่สนามบินนาริตะ จะถูกแยกจากเคาน์เตอร์ปกติของการบินไทย มาอยู่ใน Row B ของเทอร์มินัล 1 South Wing ครับ ซึ่งป้ายของสนามบินจะระบุว่าเป็น First Class Check-in มีโลโก้ของการบินไทยกำกับอยู่ชัดเจน
สำหรับไฟลต์ TG677 นี้ เคาน์เตอร์เช็กอินจะเปิดเวลา 15:00 น. ตรงครับ ใครที่วางแผนจะเดินทางไฟลต์นี้ ถ้าไปถึงสนามบินก่อนบ่ายสามก็ต้องยืนรอนิดนึงครับ คราวนี้ผมไปถึงก่อนเวลาเล็กน้อย ก็เริ่มจะมีคิวรอเคาน์เตอร์เปิดอยู่บ้าง ส่วนขั้นตอนการเช็กอินก็เป็นไปได้อย่างเรียบร้อย อาจจะไม่ได้เร็วมาก เพราะจะสังเกตได้ว่า ผู้โดยสารแต่ละคนเวลามาเที่ยวญี่ปุ่นนี่แบกของกลับทีหลายใบ หลายกล่องกันหน่อย ไฟลต์นี้เลยต้องรับภาระในการเช็กอินเยอะเป็นพิเศษครับ
ที่สนามบินนาริตะเทอร์มินัล 1 จะมีเคาน์เตอร์สำหรับ X-ray แยกสำหรับผู้โดยสาร First Class, Business Class และผู้โดยสารบัตรทอง Star Alliance ด้วยครับ สามารถมาเดินผ่านประตูดำๆ ที่เขียนว่า Gold Track นี้ได้เลย คิวจะสั้นกว่าแถว X-ray ของผู้โดยสารทั่วไปมากพอสมควร
ANA Lounge, Terminal 1, Narita Airport
สำหรับห้องรับรอง หรือ Lounge สำหรับผู้โดยสาร Royal SIlk Class การบินไทย สามารถเลือกใช้บริการที่สนามบินนาริตะได้ 2 แห่งครับ คือเลานจ์ของสายการบิน United และเลานจ์ชองสายการบิน ANA ซึ่งครั้งนี้ (และขอแนะนำสำหรับทุกๆ ครั้งเลย) ผมเลือกใช้ของ ANA เจ้าถิ่นครับ เพราะดีกว่าและเหมาะกับคนเอเชียอย่างเราๆ ท่านๆ มากกว่าของ United แน่นอน ของกินนี่จัดเต็มกันแบบสุดๆ ไปเลย
ANA Lounge ตั้งอยู่บริเวณ Satellite 4 หรือโซนของเกต 40 ครับ ใกล้กับหลุมจอดของเครื่องบินการบินไทย TG677 ที่จะเดินทางกลับอยู่แล้ว หลังจากที่เดินซื้อของฝากอะไรกันในสนามบินนาริตะเป็นที่เรียบร้อย ก็มาพักผ่อนที่ ANA Lounge แห่งนี้ก่อนขึ้นเครื่องกันครับ
โซนที่นั่ง มีหลากหลายโซนครับ ทั้งแบบโซฟานั่งสบาย และแบบโต๊ะอาหาร ให้เลือกได้ตามใจชอบ
โซนที่เป็นโซฟา จะมีปลั๊กอยู่แทบทุกตำแหน่งเลยครับ สามารถชาร์จอุปกรณ์ต่างๆ ก่อนเดินทาง พร้อมกับ Wi-Fi ฟรีของ Lounge เอง ที่ต้องผ่านหน้าจอลงทะเบียนเล็กน้อย
ส่วนของกิน ที่ขึ้นชื่อว่ายอดเยี่ยมของ ANA Lounge ก็จะมีทีเด็ดคือ Noodle Bar ที่สามารถไปสั่งราเมง อูด้งต่างๆ หรือข้าวแกงกะหรี่จากเมนูที่มีไว้ให้เลือกได้ และ Noodle Bar นี้ก็จะทำสดๆ มาให้ครับ อันนี้ถือว่าสุดมาก และอร่อยมากด้วย
หรือถ้าไม่สั่งแบบทานสดๆ ก็จะมีบุฟเฟ่ต์ที่วางเอาไว้ให้บริการตัวเองอยู่แล้ว ทั้งข้าวปั้น ข้าวห่อสาหร่าย อาหารญี่ปุ่นแบบกรุบกริบ และอาหารหนัก เช่นพาสต้า และ มีตบอล
เครื่องดื่มนอกจากจะมีตัวเลือกหลากหลายในตู้เย็นแล้ว ที่ผมชอบมากคือเครื่องรินเบียร์ Asahi อัตโนมัติเครื่องนี้ ให้เราหยิบแก้วเปล่าที่ถูกแช่เย็นเอาไว้ในตู้เย็น มาวางที่เครื่องและกดปุ่มรินเบียร์ เครื่องจะทำการเอียงแก้ว และรินเบียร์ให้อัตโนมัติครับ ดีงามมากมาย
จริงๆ Lounge แห่งนี้มีห้องอาบน้ำด้วยนะครับ ถ้ามีเวลามากพอ ก็สามารถขอใช้บริการห้องอาบน้ำได้ด้วยครับ นับว่าเป็น Lounge ที่มีความสะดวกสบายอย่างมากแห่งหนึ่งเลย
Boarding
เมื่อถึงเวลา Boarding ซึ่งดูได้จากหน้าจอแสดงสถานะเที่ยวบินใน Lounge ก็ถึงเวลาที่ต้องเดินมาที่เกตครับ การบินไทยเปิดให้ผู้โดยสาร Royal First, Royal Silk และสมาชิกบัตรทอง Star Alliance ขึ้นเครื่องได้ก่อนเลยตามสูตร
มองออกไป เจอเจ้านกยักษ์ “มัญจาคีรี” รอที่จะพาเรากลับไปกรุงเทพมหานครอย่างสวยงามครับ ช่วงนี้ญี่ปุ่นเริ่มมืดเร็วแล้ว นี่ยังไม่หกโมงเย็น ก็แทบจะมืดสนิทราวกับสามทุ่ม
On Board
ขากลับนี้ ผมเลือกที่นั่ง 12A ซึ่งเป็นที่นั่งแถวหน้าสุด ริมหน้าต่าง ของชั้น Royal Silk Class บนเครื่องบินนี้ครับ เรียกว่าเข้าประตูเครื่องมา ก็เจอที่นั่งเลย ที่นั่งตัวนี้ถือว่าส่วนตัวมากครับ เหมาะสำหรับใครที่เดินทางคนเดียว ขึ้นปุ๊บก็เจอที่นั่งไม่ต้องเดินไกล ตอนลงก็ได้ลงก่อนคนอื่นด้วย และ สังเกตว่าถ้าเป็นที่นั่ง A โต๊ะก็จะอยู่ริมทางเดินแทน ต่างจากเที่ยวบินขามาครับ
การบริการรูปแบบใหม่ ถูกใช้บนเที่ยวบิน TG677 เช่นกันครับ ขึ้นมาก็จะเจอกับขนมในกล่องกระดาษสีทอง ผ้าเย็น และเครื่องดื่ม Welcome Drink ซึ่งรอบนี้มีการเปลี่ยนแชมเปญมาใช้ Veuve Clicquot Brut ที่พนักงานแจ้งว่าไม่ได้มีในเมนู
เมนูอาหารแบบใหม่ หรือแบบ “สำรับอาหาร” ยังจัดเต็มเหมือนขามาครับ แต่จะเป็นคนละเมนูกันทั้งหมด สังเกตว่ามีให้เลือกเยอะมากๆๆๆ จนเลือกกันไม่ถูกเลยทีเดียว
กระเป๋า amenities ในเที่ยวบินนี้เป็นของ Samsonite ครับ ผมได้สีดำ (จริงๆ มีหลายสีมาก) แต่ของด้านในยังเป็นของชุดเดียวกับเที่ยวบินขามา คืออุปกรณ์อำนวยความสะดวกต่างๆ บนเครื่องบิน พวกผ้าปิดตา ที่อุดหู แปรงสีฟัน โลชั่น ถุงเท้า ฯลฯ
มองไปด้านหน้า ของที่นั่ง 12A ก็ประมาณนี้ครับ ส่วนตัวมากๆ
Cheers! ดื่มตั้งแต่เครื่องบินยังไม่ออกเดินทางกันเลย
เมื่อเครื่องบินขึ้นทำระดับความสูงได้แล้ว พนักงานต้อนรับก็นำออเดิร์ฟมาเสิร์ฟครับ เป็นถั่วนานาชนิด (อีกแล้ว) พร้อมเครื่องดื่มที่มีให้เลือกเพิ่มเติม ที่พนักงานเอา “ชามะขาม” เย็นๆ มานำเสนอ รสชาติออกจะคล้ายๆ ชามะนาว แต่หอมหวานกว่า ถูกใจครับ
จานเซอร์ไพร์สเรียกน้ำย่อย ที่ไม่มีในเมนู ถูกเสิร์ฟตามมาครับ ซึ่งผมจำไม่ได้จริงๆ ว่ามันเรียกว่าอะไร มีเป็นไข่ปลาแซลมอน และขนมปังกรอบๆ เข้ากันดีครับ
สำรับอาหาร ซึ่งถือว่าเป็นอาหารจานหลักมื้อเย็น ในเที่ยวบินนี้ ผมเลือกรับเป็น พล่ากุ้ง, ต้มยำโป๊ะแตกทะเล, แกงเผ็ดเป็ดย่าง, ผัดมะระใส่ไข่ เสิร์ฟพร้อมข้าวสวยร้อนๆ และพริกน้ำปลา
ข้อสังเกตคือ อาหารในตัวเลือกของสำรับไทยนี้ จะยืนพื้นเป็นอาหารที่มีรสจัดเกือบทั้งหมดเลยครับ ใครที่ไม่ค่อยทานเผ็ดนี่อาจจะลำบากหน่อย แม้ว่าจะไม่ได้ถูกปรุงมาแบบเผ็ดจัด แต่ด้วยความที่มันเผ็ดทุกอย่าง เลยอาจจะขัดอกขัดใจหลายคนโดยเฉพาะฝรั่งที่ไม่คุ้นเคยกับรสอาหารไทยเหมือนกัน แต่โดยรวมแล้ว ต้องถือว่าปรุงมาได้อร่อยเลยนะครับ และให้ความรู้สึกว่ามันเป็นอาหารเครื่องบินน้อยลงกว่าเดิมเยอะ ด้วยรูปแบบการเสิร์ฟที่มาเป็นจานแยกกันแบบนี้
ของหวานปิดท้ายมื้อนี้ เป็นเชอร์เบตส้ม เสิร์ฟมาในแก้วสวยงาม น่าทาน
บนเครื่องบินแบบ Airbus A380 ของการบินไทยทุกลำ และ Airbus A330 บางลำ จะมีให้บริการ WiFI บนเครื่องบิน ในชื่อ THAI Sky Connect ด้วยนะครับ ซึ่งเพิ่งจะปรับราคาใหม่ไปเร็วๆ นี้เอง เริ่มต้นที่ 5MB ราคา $4.99 ไปจนถึง 30MB ราคา $24.99 ครับ
หลังมื้อเย็นแล้ว ก็ได้เวลาเอนหลัง งีบเสียหน่อยครับ แกะผ้าห่ม และปรับที่นั่งเป็นท่านอนราบ 180 องศา เตรียมหลับได้เลย
งีบไปได้สัก 2 ชั่วโมงครับ พอลุกมาได้นิดหน่อย พนักงานก็จะสังเกตและเดินมาถามว่าจะรับอะไร พร้อมเสนอตัวเลือกเป็นชามะลิ ที่มาจากไร่บุญรอด จ.เชียงราย ผมก็ขอรับมา หอมดีนะครับ
ก่อนเครื่องลงได้ไม่นาน พนักงานก็นำเซอร์ไพร์สมาให้ปิดท้ายครับ เป็นช็อกโกแลตร้อน ที่โรยหน้าเป็นชื่อจริงของผม พร้อมโลโก้การบินไทย … ด้วยเหตุใดก็ไม่อาจทราบได้ แต่ได้ใจไปเต็มๆ จริงๆ
Suvarnabhumi Airport Arrival
เมื่อมาถึงสนามบินสุวรรณภูมิ ผู้โดยสาร Royal Silk Class สามารถมาใช้ช่องตรวจคนเข้าเมืองแบบ Fast Track ได้ครับ แต่เที่ยวบินนี้ ผมลงมาเห็นช่องปกติว่างโล่งไม่มีคน ก็เลยผ่านช่องตรวจแบบอัตโนมัติมา และมาถึงสายพานก่อนที่กระเป๋าจะถูกลำเลียงมาเสียอีก เลยต้องมายืนรอกระเป๋าที่สายพานอีกนานพอสมควร
Wrap Up
นับว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีสำหรับการบินไทยนะครับ ที่เล็งเห็นว่าต้องมีการปรับปรุงบริการ และอาหาร บนชั้นธุรกิจ Royal Silk Class เพื่อการแข่งขันกับสายการบินในกลุ่มเดียวกันได้ดียิ่งขึ้น และเริ่ม “ทดลอง” เปลี่ยนแปลงในบางเส้นทางเพื่อฟังเสียงตอบรับจากผู้โดยสารก่อน ที่แน่นอนว่า ความเปลี่ยนแปลงก็ต้องมีผลกระทบเรื่องต่างๆ ตามมา ทั้งเรื่องดีและไม่ดีปะปนกันไป
เรื่องที่ดีอย่างมาก และเห็นได้ชัดอย่างมาก คือคุณภาพของอาหารบนเครื่องบิน ที่มีการปรับปรุงทั้งหน้าตา (ที่ต้องยอมรับว่าอาหารชั้นธุรกิจก่อนปรับปรุง หน้าตาไม่ดีเท่าที่ควรนัก) และรสชาติ ที่ดีกว่าเดิมอย่างมาก รวมถึงมีตัวเลือกที่มากกว่าเดิมเป็นเท่าตัว แต่ก็มีผลกระทบตามมาหลายอย่าง คือ ตัวเลือกที่ผู้โดยสารต้องการอาจจะหมดได้ง่าย เพราะอาหารแต่ละอย่างถูกเตรียมขึ้นมาอย่างจำกัด ส่งผลต่ออารมณ์ของผู้โดยสารว่าไม่ได้ช้อยส์ที่ตัวเองต้องการแบบ 100%
นอกจากนี้ยังส่งผลต่อระยะเวลาในการเสิร์ฟ ที่ผู้โดยสารต้องรออาหารนานกว่าปกติ เนื่องจากต้องเตรียมสำรับอาหารตามช้อยส์ของผู้โดยสารแต่ละคน จะเตรียมไว้ล่วงหน้าแบบเมื่อก่อนก็ไม่ได้ การเสิร์ฟแบบนี้ จึงช้ากว่าเดิมพอสมควรเลย รวมถึงจำนวนจานชามที่เยอะขึ้น การเก็บถาด เก็บจาน ก็อาจจะใช้เวลานานขึ้นตามลำดับด้วย กับไฟลต์ญี่ปุ่นซึ่งถือว่าไม่ได้ยาวนานมาก อาจทำให้ผู้โดยสารได้พักผ่อนน้อยลงครับ (แต่ก็ยังดีที่ทั้ง TG676 และ TG677 ไม่ใช่ red-eye flight ที่ต้องเดินทางข้ามคืน)
สิ่งที่หายไปจากการเสิร์ฟแบบนี้ คือผมสังเกตว่าไม่มีเกลือ พริกไทย และไม้จิ้มฟันมาให้ เพราะไม่ได้มาเป็นถาดใหญ่ๆ เหมือนเดิมแล้ว จึงเป็นสิ่งที่ผู้โดยสารแต่ละท่านต้องขอเอง (ผมได้คอมเมนต์จุดนี้ไปบนเครื่องบินแล้ว และคาดว่าน่าจะปรับปรุงให้มีได้ไม่ยากนักในอนาคต)
การบริการจากพนักงานต้อนรับโดยรวม อยู่ในเกณฑ์ที่ดีมากๆ เลยครับ ผมยังคงยอมรับถึงคุณภาพของงานบริการในการบินไทยชั้นพรีเมียม ว่าไม่เป็นรองสายการบินอื่นๆ อยู่เช่นเดิม และไม่ได้มีข้อยกเว้นกับไฟลต์ล่าสุดที่ได้ใช้บริการครั้งนี้ด้วย
ใครสนใจทดลองบริการรูปแบบใหม่ของการบินไทย Royal Silk Class ตอนนี้มีให้บริการ 4 เที่ยวบินครับ คือ TG676 (BKK-NRT), TG677 (NRT-BKK), TG910 (BKK-LHR) และ TG911 (LHR-BKK) ซึ่งก็จะทดลองไปจนถึงสิ้นปีนี้ก่อน และถ้า feedback โดยรวมโอเค ปีหน้าก็จะถูกขยายไปยังเส้นทางอื่นๆ ต่อไปในอนาคตด้วยครับ
สนนราคาตั๋วเครื่องบินไปกลับ กรุงเทพ-โตเกียว ในชั้น Royal Silk Class เริ่มต้นที่ประมาณ 64,000 บาท หรือถ้าใช้ไมล์ Royal Orchid Plus แลก ก็จะใช้ 75,000 ไมล์ บวกค่าภาษีสนามบินอีกประมาณ 9,000 บาทครับ
- รีวิว First Class สายการบิน SWISS — ขั้นสุดของสวิส เส้นทาง Zurich-Bangkok
- พาเดินงาน AIX 2024 ✈️ — พรีวิวที่นั่งใหม่ การบินไทย Airbus A320 ก่อนใช้จริงสิ้นปีนี้
- รีวิว การบินไทย Royal First Class ปี 2024 — กรุงเทพ-ลอนดอน Boeing 777-300ER
- รีวิว Qatar Qsuite ปี 2024 — ยังเป็น Business Class ที่ดีที่สุดอยู่มั้ย?
- รีวิว ANA “The Suite” — First Class ใหม่ บน Boeing 777-300ER
- รีวิว Dassault Falcon 6X — พาบินไปสิงคโปร์ด้วย Private Jet ลำตัวกว้างสุดในโลก
- รีวิว EVA Air Business Class — ซีแอตเทิล-ไทเป Boeing 787-10
- รีวิวกระเป๋าเดินทาง Samsonite ใหม่ 3 รุ่น — ทน เท่ เบา ล้อดีจริง ฟังก์ชั่นครบ!
- เจาะลึก ATC — เจ้าหน้าที่ควบคุมจราจรทางอากาศ อาชีพสำคัญในอุตสาหกรรมการบิน
- รีวิว Business Class สายการบิน Swiss — กรุงเทพ-ซูริค Boeing 777-300ER
- พาชม “SAT-1” เทอร์มินัลใหม่ สนามบินสุวรรณภูมิ เปิดแล้ววันนี้
- รีวิว Finnair Business Class ที่นั่งแบบใหม่ ใหญ่สบายมาก แต่ปรับเอนไม่ได้! 🤨
- สุดในรุ่น “ACH130 Aston Martin Edition” — เฮลิคอปเตอร์ Airbus ที่ตกแต่งโดย Aston Martin!
- รีวิว Shark Aero เครื่องบินสปอร์ตสายซิ่ง เร็ว แรง ทำสถิติบินเดี่ยวรอบโลกมาแล้ว
- รีวิว Emirates First Class ปี 2023 — บินสบาย อาบน้ำบนเครื่องบิน หรูสุดแบบไม่เกรงใจใคร
- รีวิว ANA 「THE Room」 Business Class แบบใหม่ล่าสุด กว้างสุด มีประตูทุกที่นั่ง
- รีวิวคู่ พาซู่ชิงขึ้น First Class – สายการบิน Cathay Pacific ไปนิวยอร์ก!
- พาเจาะลึก Airbus A330neo ลำใหม่ล่าสุดของ Thai Lion Air
- รีวิว Qatar Qsuite – Business Class ที่ดีที่สุดในโลกประจำปี 2019
- รีวิว First Class สายการบิน Cathay Pacific นิวยอร์ก-ฮ่องกง ยาวๆ 16 ชั่วโมงรวด
- รีวิว Business Class สายการบิน Cathay Pacific นั่งไกลๆ ปรับปรุงเมนูใหม่ อาหารจัดเต็มสุดๆ
- รีวิว First Class สายการบิน Lufthansa พร้อมรีวิว First Class Terminal สนามบิน Frankfurt
- พาชม เจาะลึก Airbus A330neo รุ่นใหม่ล่าสุด ลำแรกของ Thai AirAsia X
- รีวิว Business Class สายการบิน EVA Air ไทเป-ซานฟรานซิสโก (Boeing 777-300ER)
- รีวิว Business Class สายการบิน Hong Kong Airlines เครื่องบินใหม่ ราคาสุดคุ้ม
- รีวิว Business Class – Cathay Pacific บน Boeing 777-300ER เส้นทาง SFO-HKG
- รีวิว Business Class บน Boeing 787-10 ใหม่ล่าสุด สายการบิน Singapore Airlines
- รีวิว Qatar Qsuite – Business Class ที่เหมือน First Class เป็นห้องส่วนตัว ปิดประตูได้!
- บุกศูนย์ฝึกลูกเรือ Singapore Airlines ชมเบื้องหลังเที่ยวบินที่ไกลที่สุดในโลก!
- รีวิว Royal First Class การบินไทย บน Airbus A380 เส้นทางกรุงเทพ-ลอนดอน
- 6 ความลับของ Economy Class รู้แล้วจะนั่งสบายขึ้นอีกเยอะ!
- รีวิว ‘Throne Seat’ ที่นั่ง Business Class แบบใหม่ล่าสุดของการบินไทย
- รีวิวสุดยอด First Class Suites แบบใหม่ล่าสุด บน Singapore Airlines A380
- รีวิว Business Class สายการบิน Cathay Pacific กรุงเทพฯ – ฮ่องกง
- รีวิว Emirates First Class Suites แบบใหม่ล่าสุด – First Class แรกของโลกที่เป็นห้องปิด 100%
- รีวิว ‘Premium Economy’ การบินไทย ดีงามไม่ต่างจาก Business Class
- รีวิว Premium Flatbed ชั้นธุรกิจ สายการบิน Thai AirAsia X
- รีวิว ห้องอาบน้ำบนเครื่องบิน Emirates First Class – Airbus A380
- รีวิว ANA Premium Economy ชั้นประหยัดพรีเมียม นั่งสบาย ในราคาไม่โหดร้าย
- พาชมโรงงาน Boeing พร้อมพา Boeing 787-9 ลำใหม่ของการบินไทยกลับสุวรรณภูมิ
- รีวิว Emirates First Class Suites ห้องส่วนตัวสุดหรูบนเครื่องบิน
- รีวิว First Class สายการบิน Korean Air แบบใหม่ล่าสุดบน Boeing 777-300ER
- พรีวิว! ที่นั่ง Business Class แบบใหม่ล่าสุดของการบินไทย บน Boeing 787-9
- รีวิว Prestige Suites ที่นั่ง Business Class แบบใหม่บนสายการบิน Korean Air
- การบินไทย มีที่นั่ง Business Class แบบไหนบ้าง? + วิธีจองให้ได้ที่นั่งแบบใหม่
- รีวิว ScootBiz สายการบิน NokScoot เส้นทางดอนเมือง-ไทเป ที่นั่งกว้าง ราคาเบา
- รีวิว First Class แบบใหม่ของ Singapore Airlines – Boeing 777-300ER
- รีวิว “The Private Room” โคตรเลานจ์ของสนามบิน Singapore Changi
- รีวิวไฟลต์สุดน่ารัก เครื่องบิน “Gudetama” ไข่ขี้เกียจ ลำเดียวในโลก
- รีวิว การบินไทย Royal Silk Class บน Airbus A350-900 XWB รุ่นล่าสุด
- รีวิว Etihad ‘Business Studio’ ชั้นธุรกิจที่ไม่มีความทัดเทียม (B77W/A380)
- รีวิว United Polaris Business Class ชั้นธุรกิจรูปแบบใหม่ของ UA
- รีวิว First Class สายการบิน ANA สุดยอดความหรูหราแบบญี่ปุ่น
- รีวิว First Class Suite สายการบิน Asiana หรู เนี๊ยบ สไตล์เกาหลี
- รีวิว Business Class บน A380 สายการบิน Emirates
- รีวิว ชั้น Smile Plus (ชั้นประหยัดพรีเมียม) สายการบินไทยสมายล์
- รีวิว Lufthansa Business Class บน Boeing 747-8I
- รีวิว Etihad First Class “Apartment” ที่สุดของการเดินทางในชั้นเฟิร์สคลาส
- เจาะลึก การบินไทย Boeing 787-8 Dreamliner เครื่องบินที่ไฮเทคที่สุดในฝูงบินปัจจุบัน
- รีวิว Business Class บน Airbus A380 สายการบิน Singapore Airlines
- รีวิว Business Class สายการบิน ANA เส้นทางโตเกียว-ซานฟรานฯ (Boeing 777-300ER)
- รีวิว Royal Silk Class บนการบินไทย Boeing 787 Dreamliner
- รีวิว United Business First Class บน Boeing 787-8 Dreamliner
- รีวิว Business Class สายการบิน ANA เส้นทางกรุงเทพ-โตเกียว (Boeing 777-200ER)
- รีวิว การบินไทย ชั้นธุรกิจ Royal Silk Class ใหม่ การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของการบินไทย
- รีวิว Business Class สายการบิน Austrian เส้นทางกรุงเทพ-เวียนนา
- รีวิว การบินไทย Royal First Class เส้นทางกรุงเทพ-แฟรงก์เฟิร์ต
- รีวิว Royal Laurel Class สายการบิน EVA Air เส้นทางไทเป-ซานฟรานซิสโก
- รีวิว เครื่องบินที่มุ้งมิ้งกระดิ่งแมวที่สุดในโลก Hello Kitty Jet
- รีวิว Royal First Class บนการบินไทย Airbus A380 เส้นทางกรุงเทพ-โตเกียว