รีวิววันนี้ ผมพาไปนั่ง Business Class ของสายการบิน Austrian ครับ ซึ่งปัจจุบัน Austrian Airlines ทำการบินจากสนามบินสุวรรณภูมิของเรา ไปยังจุดหมายเดียวคือ กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย วันละ 1 เที่ยวบินครับ ถ้าพร้อมแล้ว มาออกเดินทางไปเวียนนาพร้อมๆ กันเลย
สายการบิน Austrian Airlines เป็นสายการบินแห่งชาติของออสเตรีย ที่ถูกควบรวมระหว่างสายการบิน Air Austria และ Austrian Airways ตั้งแต่ปี 1957 เลยครับ แต่ก็ประสบปัญหาขาดทุน จนกระทั่งขายกิจการของสายการบินทั้งหมดให้กับ Lufthansa ของเยอรมัน ประเทศเพื่อนบ้านในปี 2009 โดยยังคงชื่อสายการบิน Austrian เอาไว้เช่นเดิม ส่งผลให้การดำเนินงานหลากหลายส่วนของ Austrian ถูกใช้ร่วมกับสายการบิน Lufthansa รวมถึงเป็นสมาชิกของสายการบินพันธมิตรกลุ่ม Star Alliance (สะสมไมล์ร่วมกับ Royal Orchid Plus ของการบินไทยได้) อีกด้วย
Disclosure: บทความนี้ เขียนจากประสบการณ์ตรงของผู้เขียน และไม่ได้รับการสนับสนุนใดๆ จากสายการบินหรือตัวแทนที่เกี่ยวข้อง
สำหรับการดำเนินงานของสายการบิน Austrian ในไทย ปัจจุบันมีให้บริการจากสนามบินสุวรรณภูมิ ไปยัง เวียนนา ทุกวัน วันละ 1 เที่ยวบินครับ และก็จะเป็นเที่ยวบินที่ผมจะมารีวิวให้ชมกันวันนี้นี่เอง
Flight: OS26
Route: BKK-VIE
Date: 30 Sep 2015
Departure Time: 23:45
Arrival Time: 05:35
Duration: 10 hr 50 mins
Seat: 6K
Class: Business Class
Aircraft: Boeing 777-200ER
Check-in
เคาน์เตอร์เช็กอินของสายการบิน Austrian ที่สนามบินสุวรรณภูมิ อยู่แถว G ครับ มีปรากฏโลโก้ของสายการบิน Austrian ชัดเจน โดยแบ่งเป็นเคาน์เตอร์ของ Business Class แยกเอาไว้ด้วย ทำให้ไม่ต้องรอคิวนาน (แม้ว่าจะมีเที่ยวบินเดินทางวันละไฟลต์อยู่แล้วก็เถอะ) เมื่อทำการเช็กอินแล้ว จะได้รับ Boarding Pass มาพร้อมกับบัตร Priority Lane สำหรับผ่านขั้นตอนของ ตม. ในช่องด่วนพิเศษ ซึ่งจะได้รับมา 2 ใบเลย เพื่อใช้ตอนขาออก และ เก็บอีกใบไว้ใช้ตอนขาเข้าตอนกลับมาถึงสุวรรณภูมินั่นเอง
สำหรับ Boarding Pass ของ Austrian นี้ ตอนได้มาก็อย่าสับสนไปครับ เพราะเราจะได้รับ Boarding Pass สีเหลืองของสายการบิน Lufthansa มา (แต่มีระบุว่า Austrian บน Boarding Pass นะ) เหตุผลก็อย่างที่บอกไปแต่แรกครับ ว่าการดำเนินงานหลากหลายส่วนของสายการบิน Austrian จะใช้ร่วมกับ Lufthansa นั่นเอง
หลังจากผ่านขั้นตอนของ ตม. ในช่องพิเศษมาแล้ว ผู้โดยสาร Business Class ของ Austrian ก็สามารถเลือกใช้เลานจ์ของสายการบินกลุ่ม Star Alliance ได้เลย รวมถึง Royal Silk Lounge ของการบินไทยได้ด้วย ผมเลยมานั่งพักผ่อนที่ Royal Silk Lounge ใกล้กับ Concourse C ที่เราจะเดินทางในวันนี้ครับ
On Board
เมื่อถึงเวลาขึ้นเครื่อง ก็เป็นการบอดดิ้งแบบปกติทั่วไปครับ เรียกผู้โดยสารชั้นธุรกิจ และสมาชิกบัตรทองขึ้นเครื่องได้ก่อน ซึ่งตอนที่ผมเดินมาที่เกต ก็ถึงเวลาเรียกขึ้นเครื่องพอดิบพอดี แบบไม่ต้องมานั่งรอที่เกตแล้ว เที่ยวบินวันนี้ เต็ม 100% เลยครับ (ต้องยอมรับว่า Austrian ประสบความสำเร็จในเส้นทาง BKK-VIE มากนะครับ เนื่องจากทำราคาได้ย่อมเยากว่าสายการบินอื่น เวลาค่อนข้างสวย และยังสามารถสะสมไมล์ Star Alliance ได้ด้วย)
เมื่อขึ้นเครื่อง Boeing 777-200ER มาแล้ว ก็จะพบกับหน้าตาของ Business Class ที่สวยงามทีเดียว เป็นรูปแบบของ Business Class แบบปรับปรุงใหม่ ที่ Austrian นำมาใช้กับเที่ยวบินระยะไกลเกือบทั้งหมดครับ
การจัดเรียงที่นั่ง เป็นแบบสลับฟันปลา 1-2-1 สลับกับ 2-2-2 ครับ ซึ่งเป็นคอนฟิกที่นั่งที่แปลกประหลาดหน่อย โดยทุกที่นั่งสามารถปรับเอนนอนราบได้ และมีพื้นที่ส่วนตัวเป็นโต๊ะเล็กๆ ด้านข้าง แต่การคอนฟิกที่นั่งแบบนี้ ส่งผลให้บางที่นั่งมีความสบายมากกว่าที่นั่งอื่นอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะที่นั่งเดี่ยว และ ที่นั่งโซนกลาง (D และ G) ที่มีความเป็นส่วนตัว ในขณะที่โซนริมหน้าต่างทั้งหมดที่เป็นที่นั่งคู่ จำเป็นต้องหลีกทางให้กัน ในกรณีที่ผู้โดยสารริวหน้าต่างจะลุกไปเข้าห้องน้ำครับ ถ้าไม่รู้จักกันนี่อาจจะถึงขั้นไม่สะดวกเลย และไฟลต์ขาไปนี้ ผมได้ที่นั่ง 6K ริมหน้าต่าง ที่ต้องขอทางจากที่นั่ง 6H ทุกครั้งที่จะลุกออกจากที่นั่ง
Seat Features / Amenities
ที่นั่ง Business Class ของสายการบิน Austrian เป็นแบบ flatbed ปรับเอนนอนได้ราบ 180 องศาครับ ที่ดูแล้วอาจจะรู้สึกว่าไม่ได้กว้างอะไรมากมายเลย สังเกตว่าที่นั่ง 6K ริมหน้าต่างของผม ต้องแทรกตัวผ่านที่นั่ง 6H ที่อยู่ริมทางเดินเข้าไปก่อนครับ ซึ่งตอนที่ 6H เอนที่นั่งลงนอนราบแล้ว ผมจะออกจากที่นั่งของผมไม่ได้เลย ถือเป็นที่นั่ง Business Class ที่เสียเปรียบที่นั่งอื่นๆ ในเคบินค่อนข้างมาก หากไม่ได้เดินทางกับคนรู้จักนะครับ
พอเข้ามานั่งที่แล้ว ก็พบว่ามันไม่ได้แคบอย่างที่รู้สึกทีแรกนะครับ พื้นที่ด้านหน้าสามารถยืดขาได้สุดแบบไม่เตะโดนอะไร และเป็นช่องยาวเข้าไปเมื่อที่นั่งถูกปรับเอนราบ มีหน้าจอความบันเทิงแบบทัชสกรีน ขนาด 15 นิ้ว (เสียดายหน้าจอไม่ตัดแสงสะท้อน) และมีช่องเก็บนิตยสารต่างๆ อยู่เยื้องๆ กัน
บริเวณโต๊ะเล็กๆ ที่วางแขนด้านข้าง เป็นตำแหน่งของปุ่มปรับที่นั่ง แบบสัมผัสครับ สามารถปรับได้ละเอียดพอสมควร และยังมีปุ่มปรับนวดหลัง และ ปรับความแข็งของเบาะที่นั่งได้ตามความต้องการด้วย แต่ส่วนตัวผมว่าปุ่มแบบสัมผัสนี้ใช้จริงไม่ถนัดเท่าไหร่ สวยดี แต่ใช้งานสู้ hard button ไม่ได้
แผงด้านข้าง เป็นตำแหน่งของช่องเก็บของเล็กๆ ที่มีใส่กระเป๋า amenities มาให้ และเป็นตำแหน่งของปลั๊กไฟแบบ Universal, ช่องเสียบหูฟังแบบ noise cancellation, ช่องเสียบชาร์จ USB และเป็นตำแหน่งของโคมไฟอ่านหนังสือ
กระเป๋า amenities ของ Austrian มาเป็นแนวกระเป๋าผ้าสีเทาเข้ม พันด้วยเชือกสีแดง ดูคลาสสิคดีครับ ภายในประกอบไปด้วยชุดแปรงสีฟัน, ที่อุดหู, ผ้าปิดตา, ถุงเท้า, ช้อนรองเท้า,โลชั่นสำหรับทาหน้า, และ เม็ดอมมิ้นต์
ไฮไลต์ของที่นั่ง Austrian คือสิ่งนี้แหละครับ หมอนและผ้าห่มอย่างดี ที่ Austrian เตรียมเอาไว้ให้ Business Class ทุกที่นั่ง เป็นผ้าห่มม้วนใหญ่ และหมอนขนาดใหญ่กำลังดี
In-flight Entertainment
ระบบหน้าจอความบันเทิงของ Austrian เป็นแบบหน้าจอสัมผัสครับ ที่ผมเองดูเมนูของมันตอนแรก ก็แอบงงๆ และแตะใช้งานลำบาก แต่พอรู้ว่าต้องใช้คู่กับรีโมทคอนโทรล ใต้ที่วางแขน ก็ใช้ได้ง่ายขึ้นมากทีเดียว
รีโมทเล็กๆ ตัวนี้ ให้สังเกตที่ช่องสีดำสี่เหลี่ยมด้านบนครับ ตรงนั้นเป็นเซนเซอร์สัมผัสที่ให้เอานิ้วไปเลื่อนควบคุมหน้าจอได้เหมือนกับเมาส์บนคอมพิวเตอร์เลย ทำให้เราไม่ต้องเอื้อมไปแตหน้าจอให้เมื่อย แถมมันยังใช้ในการ scroll หน้าจอได้แบบเร็วๆ อีกด้วย ส่วนปุ่มอื่นๆ บนรีโมท ก็ใช้ในการเพิ่มลดเสียง เปิดปิดไฟ และเรียกพนักงานต้อนรับครับ
สำหรับหนังที่มีให้ชมบนเครื่องบิน ก็มีหนังเก่าใหม่ปะปนกันไปครับ (มีให้เลือกไม่เยอะมากเท่าไหร่) ตอนที่เดินทางนี่ก็มีหนังใหม่ๆ อย่าง Jurassic World และ San Andreas ให้ชมกันแล้ว ส่วนหนังหายาก หรือหนังโซนเอเชีย ญี่ปุ่น เกาหลี ก็มีให้เลือกนิดหน่อยเท่านั้น และแน่นอนว่า ไม่มีซับไทยนะครับ มันเป็นสายการบินยุโรปนี่นา
In-flight Service
ก่อนเครื่องขึ้น พนักงานต้อนรับ สาวยุโรปผมบลอนด์ เข็นเอานิตยสารต่างๆ มาให้เลือกครับ มีทั้งไทย อังกฤษ เยอรมัน (ในไฟลต์ผมเข้าใจว่ามีพนักงานต้อนรับคนไทยด้วย แต่ไม่ได้มาประจำ Business Class ครับ)
Welcome Drink ถูกนำมาเสิร์ฟเช่นกัน มีให้เลือกทั้ง Soft Drink และแอลกอฮอล์ครับ
ทีเด็ดที่สุดของ Business Class ของ Austrian ก็คือสิ่งนี้แหละครับ “พ่อครัว” บนเครื่องบิน ที่จะออกมาต้อนรับตั้งแต่เครื่องยังไม่ขึ้นเลย ด้วยการแจกเมนูอาหาร พร้อมแนะนำตัวเลือกของอาหารบนเครื่องที่จะเสิร์ฟตลอดไฟลต์ครับ และที่น่ารักมากคือ เขาจะแต่งตัวเป็นพ่อครัวแบบนี้แหละ ตลอดการเดินทางจนถึงที่หมายกันเลยทีเดียว (บริการอาหารบนเที่ยวบินของ Austrian ทั้งหมด ถูกจัดเตรียมโดย DO & CO เคเทอริ่งชื่อดังของประเทศออสเตรียนี่แหละครับ)
เมนูอาหารของไฟลต์นี้ครับ (ไม่มีภาษาไทยนะ) จะเห็นได้ชัดเลยว่า Austrian เน้นการเอาพ่อครัวหรือเชฟมาอยู่บนเครื่องบินกับเรา เพื่อที่จะได้ปรุงอาหารแบบตามสั่งได้ครับ นั่นคือ เราสามารถเลือกตัวเลือกต่างๆ ได้อย่างละเอียดเลย เช่น อาหารเช้า ไข่ดาวกี่ฟอง ใส่เบคอน โยเกิร์ต ผลไม้ ใส่อะไรบ้าง ไม่ใส่อะไรบ้าง ก็สามารถกรอกลงไปในใบรายการได้อย่างละเอียด อาหารก็จะถูกเตรียมสดๆ ก่อนนำมาเสิร์ฟไม่นานครับ
Lavatory
ห้องน้ำของ Business Class จะอยู่ระหว่างแถวที่ 7 กับ 8 ครับ มีให้ใช้ทั้งหมด 2 ห้อง และยังมีอีก 1 ห้องที่บริเวณหัวเครื่องขึ้น หน้าแถว 1 โดยที่เป็นห้องน้ำขนาดมาตรฐาน เล็กๆ ทั่วไป ไม่ได้มีอะไรพิเศษ
บริเวณข้างอ่างล้างมือ ทาง Austrian ได้เตรียมตะกร้าเครื่องใช้พวก หวี ที่อุดหู กระดาษเปียก ไว้ให้ได้หยิบใช้งานครับ โดยรวมแล้วก็ธรรมดาทั่วไป ไม่มีอะไรโดดเด่น
In-flight Cuisine
อย่างที่บอกไปครับ ว่าทีเด็ดของ Austrian คือเรื่องอาหาร เพราะมีเชฟแต่งตัวจัดเต็มมาทำให้ถึงบนเครื่องขนาดนี้ หน้าตาจะออกมาเป็นไงบ้างนะ กับมื้อแรกที่เสิร์ฟตอนแประมาณตีหนึ่งกว่าๆ
เริ่มจากถั่วนานาชนิด และขนมปังที่มีมาให้เลือก ทานกับเนยก่อนครับ ผมเลือกแชมเปญ Prosecco มาทานด้วย
ซุปถูกเสิร์ฟตามมาครับ ผมเลือกเป็นซุปครีมข้าวโพด ถูกอุ่นร้อนมาพอดิบพอดี หอมอร่อยครับ เรียกน้ำย่อยกันเลยทีเดียว
อาหารจานหลัก ในเที่ยวบินขาไปนี้ ผมเลือกรับเป็นแกงเนื้อ กับข้าวผัดไข่ ที่ตอนแรกคาดหวังจะออกมาแนวๆ อาหารไทย แต่ทานดูแล้วเป็นสไตล์จีนมากกว่า โดยรวมแล้วอร่อยดีครับ เสียแต่ข้าวผัดนี่แข็งไปหน่อย เนื้อผ่าน ข้าวไม่ผ่านซะงั้น บวกกับดื่มแชมเปญไปพอสมควรแล้ว ทานหมดจานหลัก ก็ง่วงพอดิบพอดี ขอไม่รับบรรดาเค้ก ของหวาน ผลไม้ และชีสที่เสิร์ฟตามมาครับ เอนหลังหลับเลยดีกว่า
Flatbed
ที่นั่งสามารถปรับเอนราบได้ 180 องศาเลยครับ ที่จริงๆ แล้ว นอกจากหมอนกับผ้าห่มที่มีมาให้ ทุกที่นั่งยังมีผ้าปูที่นอนด้วยนะครับ ที่สามารถเรียกให้พนักงานต้อนรับมาปูได้ แต่ผมดูแล้วน่าจะเข้ามายังที่นั่งของผมลำบากหน่อย และก็ง่วงมากแล้วด้วย โดยรวมที่นั่งถือว่านอนได้สบายเลยครับ แต่จะมีพื้นที่ซ้ายขวา บริเวณเท้าน้อยไปเสียหน่อย ทำให้จัดท่าได้ไม่สะดวกนัก ถ้าใครตัวใหญ่หน่อย อาจจะเห็นว่าแคบไปนิดนึงนะครับ
Breakfast
หลับไปได้ยาวเลยครับ ถูกปลุกอีกทีด้วยอาหารเช้า (ตอนส่งเมนู สามารถเลือกติ๊กได้นะครับ ว่าจะให้ปลุกหรือไม่ปลุกก็ได้) โต๊ะถูกกางออกมาอีกครั้ง
ผลไม้สด และตัวเลือกของขนมปังถูกนำมาเสิร์ฟครับ ทานพร้อมเนยสดอีกเหมือนเดิม ตรงนี้แหละครับ ที่เราสามารถเลือกไปได้ตั้งแต่ในเมนูก่อนเครื่องออกเดินทาง ว่าจะรับอะไรบ้าง ถ้าติ๊กโยเกิร์ตหรือ Cornflakes เพิ่มไป ก็จะถูกนำมาเสิร์ฟพร้อมกันเลยด้วย
เมนูที่ผมเลือกไป ไข่ดาวสองฟอง เบคอนกรอบ พร้อมขนมปังปิ้ง และ Nutella ถูกทำสดๆ และ นำมาเสิร์ฟแบบร้อนๆ ครับ ให้ฟีลไม่เหมือนกับเป็นอาหารบนเครื่องบินเลย เพราะเราสามารถเลือกสั่งได้เองแบบอิสระ ไม่ต้องอิงตามชอยส์ที่มักจะมีให้เลือกไม่มากนัก
ช็อกโกแลตร้อนสไตล์ออสเตรียน ถูกเสิร์ฟตามมาครับ อันนี้ก็ต้องสั่งไปตั้งแต่แรกเหมือนกันนะ ถือว่ายอดเยี่ยมเลยล่ะครับสำหรับอาหารบนเที่ยวบินของ Austrian Airlines
Arrival in Vienna Airport
เกือบ 11 ชั่วโมงครับ เครื่องบิน Boeing 777-200ER ของสายการบินออสเตรียน ก็พาผมมาถึงท่าอากาศยานเวียนนา ประเทศออสเตรียเป็นที่เรียบร้อย ขั้นตอนตรวจคนเข้าเมืองที่สนามบินนี้ ทำได้รวดเร็วมากๆ และคิวไม่ยาวนัก (มาถึงเวียนนาเช้ามืดเลย) โดยผมมีเที่ยวบินต่อไปยังสนามบิน Stockholm-Arlanda จึงไม่ได้มีขั้นตอนของการรับกระเป๋าที่สนามบินนี้นะครับ เราข้ามไปดูขากลับกันต่อเลยดีกว่า
Flight: OS314
Route: ARN-VIE
Date: 3 Oct 2015
Departure Time: 16:50
Arrival Time: 19:10
Duration: 2 hr 20 mins
Seat: 2F
Class: Business Class
Aircraft: Fokker 100
ก่อนที่จะไปดูเที่ยวบินขากลับยาวๆ ช่วงเวียนนา – กรุงเทพ ขอแถมรีวิว Business Class ไฟลต์ภายในยุโรปสั้นๆ จากสนามบิน Stockholm-Arlanda มายังสนามบิน Vienna ครับ โดยเที่ยวบินนี้ใช้เวลาเดินทาง 2 ชั่วโมง 20 นาที ซึ่งผมได้เช็คอินจากสนามบิน Stockholm-Arlanda ยาวไปถึงกรุงเทพฯ เลย
ที่สนามบิน Stockholm มีเคาน์เตอร์เช็กอินของ Austrian อยู่เล็กๆ ครับ (ใช้ร่วมกับ SWISS ที่เป็นลูกของ Lufthansa เช่นกัน) แบ่งเคาน์เตอร์ของ Business/First Class ออกมาต่างหาก ไม่ต้องรอคิวนาน
เมื่อเช็กอินแล้ว ผมก็ตกใจกับหน้าตาของ Boarding Pass นิดหน่อยครับ เพราะเป็นกระดาษขาวๆ โล่งๆ ไม่มีแม้กระทั่งโลโก้สายการบินใดๆ จำนวน 2 ใบ ใบแรกคือจาก Stockholm ไป Vienna และใบที่สอง คือจาก Vienna ไป Bangkok (เตือนกันอีกครั้ง อย่าแชร์รูป Boarding Pass ที่ยังเดินทางไม่เสร็จสิ้นนะครับ)
ใครที่ไม่เคยเดินทางด้วย Business Class ในเที่ยวบินภายในยุโรปด้วยกัน (รวมถึงอเมริกาด้วย) ก็อาจจะตกใจหน่อยครับ ว่าที่นั่ง Business Class ของเที่ยวบิน Domestic ในโซนนี้ มันมีหน้าตาแบบนี้แหละ!
ใช่ครับ มันคือที่นั่งเดียวกับ Economy Class เป๊ะๆ เลย แต่จัดโซนไว้ด้านหน้าสุดของเครื่องบิน โดนกันที่นั่งตัวกลางเอาไว้ ไม่ให้ใครนั่ง เพื่อให้ไม่รู้สึกอึดอัด ส่วนตัวเก้าอี้ก็เหมือน Economy ทุกอย่าง ปรับเอนหลังได้เล็กน้อย เบาๆ
ความกว้างที่นั่ง ก็ประมาณนั่ง AirAsia แหละครับ จากรูปนี่ก็คงไม่ต้องบรรยายอะไรมากมายนัก
แต่ทีเด็ดอยู่ที่อาหารเช่นเคยครับ แม้ว่าจะเป็นเที่ยวบิน Domestic ภายในยุโรปด้วยกัน และที่นั่งก็เป็นแบบธรรมดาทั่วไป แต่ Austrian ก็ยังจัดเต็มเรื่องอาหารการกินเหมือนเดิม สวยงาม และอร่อยถูกปากทีเดียวครับ เดินทางเพียงสั้นๆ สองชั่วโมงเศษ ก็ถึงที่สนามบินเวียนนา เพื่อเตรียมไปต่อเครื่อง กลับกรุงเทพมหานครกันต่อ
Flight: OS15
Route: VIE-BKK
Date: 3 Oct 2015
Departure Time: 20:10
Arrival Time: 11:15
Duration: 10 hr 5 mins
Seat: 6G
Class: Business Class
Aircraft: Boeing 777-200ER
เที่ยวบินต่อนี้ ผมมีเวลาน้อยมากทีเดียวครับ มาถึงเวียนนา 19:10 และเที่ยวบินออก 20:10 น. จึงไม่มีเวลามากพอที่จะไปใช้บริการที่เลานจ์ Austrian ในสนามบินเวียนนา (ขอยกไว้รีวิวในโอกาสหน้า) แค่มาถึง ผ่านขั้นตอนการตรวจ ตม. เพื่อออกจากโซน Schengen ก็ต้องพุ่งตัวไปเตรียมขึ้นเครื่องที่เกตทันที
ผมเดินมาถึงเกต G03 ก็ใกล้จะได้เวลา Boarding พอดีเลยครับ มีผู้โดยสารรอขึ้นเครื่องที่เกตกันอย่างล้นหลาม และเท่าที่สังเกตดู ถึงแม้ว่าจะเป็นเที่ยวบินไปยังกรุงเทพฯ แต่ก็เห็นคนไทยบนไฟลต์นี้ไม่มากนัก ส่วนมากจะเป็นฝรั่งหัวทองจากโซนยุโรปด้วยกันเองนี้มากกว่า
บริเวณเกต ถูกแบ่งช่องเอาไว้สำหรับผู้โดยสารที่ถือบัตร HON Circle และ Senator (บัตรสมาชิกสะสมไมล์ระดับพรีเมียมของ Lufthansa และ Austrian) รวมถึงผู้โดยสาร Business Class ได้ขึ้นเครื่องก่อนในช่องที่แยกไว้ครับ
On Board
ในเที่ยวบินขากลับนี้ ผมได้ที่นั่ง 6G ครับ ซึ่งเป็นที่นั่งโซนกลาง ติดทางเดิน สามารถลุกออกไปได้โดยไม่ต้องผ่านผู้โดยสารคนอื่น รวมถึงไม่ต้องหลบทางให้ผู้โดยสารคนอื่นด้วย ได้ความเป็นส่วนตัวและสบายกว่าขามาพอสมควร
เนื่องจากเป็นที่นั่งและเครื่องบินแบบเดียวกับเที่ยวบินขามา จึงไม่ขอพูดถึงฟีเจอร์ต่างๆ ของที่นั่งซ้ำแล้วนะครับ
Welcome Drink ผมเลือกรับเป็นน้ำส้มคั้นสด ใส่น้ำแข็ง และมีเนื้อส้มปนอยู่ สดชื่นอย่างมากครับ
เช่นเดิมครับ เชฟใส่ชุดพ่อครัวจัดเต็ม เดินมาแจกเมนูและสอบถามตัวเลือกของอาหาร พร้อมรับออเดอร์แบบ custom สำหรับผู้โดยสารแต่ละคน จดไปอย่างละเอียดทีละที่นั่งเลย
หน้าตาของใบสั่งอาหาร ถูกแนบมากับเมนูอาหารและเครื่องดื่มที่เป็นตัวเลือกทั้งหมด ก็ประมาณนี้ครับ หรือถ้าจะสั่งอะไรเพิ่มเติมต่างหาก ก็สามารถสอบถามจากเชฟได้เลยโดยตรง
หน้าตาของเคบิน จากที่นั่ง 6G ของผม ซึ่งถือเป็นที่นั่ง Business Class แถวหลังสุดของโซนแรกครับ (ด้านหลังผมเป็นห้องน้ำ) โดยที่นั่ง Business Class ของ Austrian บน Boeing 777-200ER นี้มีไปจนถึงแถวที่ 10)
พนักงานมากางและปูโต๊ะให้ พร้อมออเดิร์ฟที่ทะยอยนำมาเสิร์ฟ ยังคงมาสูตรเดิม คือ ถั่วนานาชนิด ตัวเลือกของขนมปังแบบต่างๆ ทานกับเนยสด
ซุปใส พร้อม bacon dumpling (Speckknödel) มาเสิร์ฟแบบอุ่นร้อนๆ พอดิบพอดี รสชาติพอโอเคครับ คงไม่ถูกปากคนเอเชียมากเท่ากับอาหารเอเชีย หรือซุปสไตล์จัดจ้านของบ้านเราอยู่แล้ว
อาหารจานหลัก คือ Wiener Beckhendl หรืออกไก่ทอดสไตล์เวียนนาครับ เสิร์ฟพร้อมกับเลมอน ข้าวผัดถั่วลันเตา และสลัดครีมแตงกวา เห็นแบบนี้ อร่อยมากเลยล่ะครับ ทุกอย่างปรุงมาพอดีมากๆ
ปิดท้ายด้วยผลไม้สด ที่สามารถเลือกรับพร้อมชีสได้ด้วย และยังมีชากาแฟหลากหลายชนิดมาให้เลือก โดยเฉพาะคอกาแฟน่าจะชอบครับ เพราะมีเมนูกาแฟมาให้เลือกเป็นแคตาล็อกเลยทีเดียว
จากนั้นก็ได้เวลาเอนหลัง กดปรับพนักที่นั่งเป็นท่านอน และพักผ่อนกันยาวๆ จนไปรอข้าวเช้าก่อนที่จะถึงสนามบินสุวรรณภูมิ
หลังจากปรับเป็นท่านอนแล้ว ลักษณะที่นั่งก็จะประมาณนี้ครับ จะเห็นว่าขอบของที่นั่งด้านซ้ายขวาของเรา จะช่วยบังและให้ความเป็นส่วนตัวได้มากพอสมควรจากผู้โดยสารคนอื่นๆ ในเที่ยวบินขากลับนี้ ผมลองให้พนักงานมาปูผ้าปูที่นอนให้อีกชั้น พอได้นอนกับผ้าห่มและหมอนที่ให้มา ก็ให้ความสบายที่โอเคมากทีเดียว แม้ว่าพื้นที่ซ้ายขวาจะแคบไปเสียหน่อยก็ตาม
ประมาณ 1 ชั่วโมง 45 นาที ก่อนเครื่องลงที่สุวรรณภูมิ พนักงานต้อนรับมาปลุก พร้อมอาหารเช้าครับ โต๊ะถูกกางออกมาอีกครั้ง และมาพร้อมกับชุดอาหาร (จานสามเหลี่ยมเป็นเอกลักษณ์ของทุกมื้อบนสายการบินนี้) ตามที่ได้เลือกไปตั้งแต่แรก รอบนี้ผมลองติ๊ก plain yoghurt พร้อมแยม และ nutella ไปด้วย มาเสิร์ฟได้ครบถ้วน เป๊ะตามที่เลือกไป ผลไม้สด และ โยเกิร์ต หลังตื่นนอนมาแบบนี้ สดชื่นดีครับ
อาหารจานหลัก ผมยังคงเลือกเป็นไข่ดาว เบคอนทอด และขนมปังปิ้งเหมือนเดิม (ถูกใจตั้งแต่ขามา เลยขอซ้ำอีกรอบ) ปรุงมาสดๆ ร้อนๆ หอม อร่อย และไม่รู้สึกว่าเป็นอาหารบนเครื่องบินเลยทีเดียว
Suvarnabhumi Airport Arrival
เดินทางกลับมาถึงสนามบินสุวรรณภูมิ เวลาประมาณ 11 นาฬิกา สายการบิน Austrian เปิดให้ผู้โดยสาร Business Class ลงจากเครื่องเป็นกลุ่มแรกครับ จากนั้นก็ให้เดินไปผ่านขั้นตอนการตรวจคนเข้าเมืองในช่อง Premium Lane ได้เลย โดยใช้บัตร Premium Lane ที่ได้รับมาตั้งแต่ตอนเดินทางขาออก (ใครทำหาย ซวยครับ 555) และรับกระเป๋าที่สายพาน โดยกระเป๋าถูกติดแท็ก Priority ตั้งแต่ตอนเช็กอินอยู่แล้ว จึงไม่ต้องรอนาน เป็นอันสิ้นสุดการบริการ Business Class ของสายการบิน Austrian
Wrap Up
การเดินทางด้วย Business Class บน Austrian ทำได้เหนือความคาดหมายเล็กน้อยครับ เพราะส่วนตัวผมไม่ได้คาดหวังอะไรมากมายกับสายการบินยุโรปอยู่แล้ว แต่ต้องยอมรับว่าเคบิน Business Class แบบ Long Haul ที่ปรับปรุงใหม่ของ Austrian นี่ดูใหม่ นั่งสบาย นอนสบายดีเหมือนกัน แต่ขอย้ำว่า ให้เลือกที่นั่งตั้งแต่ก่อนเดินทาง โดยพยายามเลือกที่นั่งเดี่ยวถ้าเป็นไปได้ครับ (ที่นั่งเดี่ยวบน Austrian จะเต็มเร็วมากๆ) หากไม่ได้เดินทางพร้อมกันหลายคนนะครับ
การบริการอยู่ในระดับกลางๆ ครับ ไม่โดดเด่น แต่ก็ไม่มีอะไรแย่ให้ตำหนิกัน ถ้าจะขัดใจคนไทยบ้าง ก็ด้วยการแสดงออกแบบยุโรปแท้ๆ เก็บของเสียงดังปึงปัง และเข้มงวดกฎระเบียบโดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยเป็นอย่างมาก รวมถึงไม่มีพนักงานต้อนรับคนไทยประจำอยู่ในโซน Business Class นี้ (ไม่แน่ใจว่าไฟลต์วันอื่นๆ จะมีมั้ย แต่ผมไม่เจอทั้งขาไปและกลับเลยนะครับ) ส่วน Amenity Bag รวมถึงข้าวของเครื่องใช้บนเครื่องบิน ก็อยู่ในระดับกลางๆ ทั่วไปเช่นกัน
จะโดดเด่น ก็เรื่องอาหารการกินครับ ที่เซ็ตอัปมาสวยงาม มีการเอาพ่อครัวแต่งตัวมาจัดเต็มมาคอยบริการและดูแลเรื่องอาหารบนเครื่องบิน เหมือนเป็นการบิวต์กันตั้งแต่ยังไม่ออกเดินทาง ว่าเจอชุดพ่อครัวงี้ อาหารต้องอร่อยแน่ๆ (แต่เอาเข้าจริง ก็ไม่ถึงกับสุดยอดขนาดนั้น มีแค่บางจานที่โอเคมากๆ) ซึ่งต้องถือว่า Austrian ประสบความสำเร็จในการบิวต์อารมณ์พอสมควรเลยครับ เป็นคอนเซ็ปต์ที่น่าสนใจดี และแอบสงสารเชฟที่ต้องแต่งตัวแบบนั้นทั้งไฟลต์เหมือนกัน 555
ใครที่มีจุดหมายยุโรป (ไม่ต้องเวียนนาก็ได้) และไม่ซีเรียสว่าต้องเป็นเที่ยวบินตรง ลองเช็คราคาออสเตรียนดูเป็นทางเลือกนะครับ เพราะในหลายช่วงเวลาทำราคาได้ดีกว่าสายการบินอื่นๆ ได้มาก แต่น่าจะเป็นตัวเลือกที่ย่อมเยาที่สุดในการบินยุโรปที่สามารถเก็บไมล์ Star Alliance ได้ในตอนนี้เลยครับ
พบกันใหม่รีวิวหน้า สวัสดีครัช
- พาชม “ARIA SUITE” — Business Class แบบใหม่ของ Cathay Pacific มีประตูปิดทุกที่นั่ง!
- รีวิว First Class สายการบิน SWISS — ขั้นสุดของสวิส เส้นทาง Zurich-Bangkok
- พาเดินงาน AIX 2024 ✈️ — พรีวิวที่นั่งใหม่ การบินไทย Airbus A320 ก่อนใช้จริงสิ้นปีนี้
- รีวิว การบินไทย Royal First Class ปี 2024 — กรุงเทพ-ลอนดอน Boeing 777-300ER
- รีวิว Qatar Qsuite ปี 2024 — ยังเป็น Business Class ที่ดีที่สุดอยู่มั้ย?
- รีวิว ANA “The Suite” — First Class ใหม่ บน Boeing 777-300ER
- รีวิว Dassault Falcon 6X — พาบินไปสิงคโปร์ด้วย Private Jet ลำตัวกว้างสุดในโลก
- รีวิว EVA Air Business Class — ซีแอตเทิล-ไทเป Boeing 787-10
- รีวิวกระเป๋าเดินทาง Samsonite ใหม่ 3 รุ่น — ทน เท่ เบา ล้อดีจริง ฟังก์ชั่นครบ!
- เจาะลึก ATC — เจ้าหน้าที่ควบคุมจราจรทางอากาศ อาชีพสำคัญในอุตสาหกรรมการบิน
- รีวิว Business Class สายการบิน Swiss — กรุงเทพ-ซูริค Boeing 777-300ER
- พาชม “SAT-1” เทอร์มินัลใหม่ สนามบินสุวรรณภูมิ เปิดแล้ววันนี้
- รีวิว Finnair Business Class ที่นั่งแบบใหม่ ใหญ่สบายมาก แต่ปรับเอนไม่ได้! 🤨
- สุดในรุ่น “ACH130 Aston Martin Edition” — เฮลิคอปเตอร์ Airbus ที่ตกแต่งโดย Aston Martin!
- รีวิว Shark Aero เครื่องบินสปอร์ตสายซิ่ง เร็ว แรง ทำสถิติบินเดี่ยวรอบโลกมาแล้ว
- รีวิว Emirates First Class ปี 2023 — บินสบาย อาบน้ำบนเครื่องบิน หรูสุดแบบไม่เกรงใจใคร
- รีวิว ANA 「THE Room」 Business Class แบบใหม่ล่าสุด กว้างสุด มีประตูทุกที่นั่ง
- รีวิวคู่ พาซู่ชิงขึ้น First Class – สายการบิน Cathay Pacific ไปนิวยอร์ก!
- พาเจาะลึก Airbus A330neo ลำใหม่ล่าสุดของ Thai Lion Air
- รีวิว Qatar Qsuite – Business Class ที่ดีที่สุดในโลกประจำปี 2019
- รีวิว First Class สายการบิน Cathay Pacific นิวยอร์ก-ฮ่องกง ยาวๆ 16 ชั่วโมงรวด
- รีวิว Business Class สายการบิน Cathay Pacific นั่งไกลๆ ปรับปรุงเมนูใหม่ อาหารจัดเต็มสุดๆ
- รีวิว First Class สายการบิน Lufthansa พร้อมรีวิว First Class Terminal สนามบิน Frankfurt
- พาชม เจาะลึก Airbus A330neo รุ่นใหม่ล่าสุด ลำแรกของ Thai AirAsia X
- รีวิว Business Class สายการบิน EVA Air ไทเป-ซานฟรานซิสโก (Boeing 777-300ER)
- รีวิว Business Class สายการบิน Hong Kong Airlines เครื่องบินใหม่ ราคาสุดคุ้ม
- รีวิว Business Class – Cathay Pacific บน Boeing 777-300ER เส้นทาง SFO-HKG
- รีวิว Business Class บน Boeing 787-10 ใหม่ล่าสุด สายการบิน Singapore Airlines
- รีวิว Qatar Qsuite – Business Class ที่เหมือน First Class เป็นห้องส่วนตัว ปิดประตูได้!
- บุกศูนย์ฝึกลูกเรือ Singapore Airlines ชมเบื้องหลังเที่ยวบินที่ไกลที่สุดในโลก!
- รีวิว Royal First Class การบินไทย บน Airbus A380 เส้นทางกรุงเทพ-ลอนดอน
- 6 ความลับของ Economy Class รู้แล้วจะนั่งสบายขึ้นอีกเยอะ!
- รีวิว ‘Throne Seat’ ที่นั่ง Business Class แบบใหม่ล่าสุดของการบินไทย
- รีวิวสุดยอด First Class Suites แบบใหม่ล่าสุด บน Singapore Airlines A380
- รีวิว Business Class สายการบิน Cathay Pacific กรุงเทพฯ – ฮ่องกง
- รีวิว Emirates First Class Suites แบบใหม่ล่าสุด – First Class แรกของโลกที่เป็นห้องปิด 100%
- รีวิว ‘Premium Economy’ การบินไทย ดีงามไม่ต่างจาก Business Class
- รีวิว Premium Flatbed ชั้นธุรกิจ สายการบิน Thai AirAsia X
- รีวิว ห้องอาบน้ำบนเครื่องบิน Emirates First Class – Airbus A380
- รีวิว ANA Premium Economy ชั้นประหยัดพรีเมียม นั่งสบาย ในราคาไม่โหดร้าย
- พาชมโรงงาน Boeing พร้อมพา Boeing 787-9 ลำใหม่ของการบินไทยกลับสุวรรณภูมิ
- รีวิว Emirates First Class Suites ห้องส่วนตัวสุดหรูบนเครื่องบิน
- รีวิว First Class สายการบิน Korean Air แบบใหม่ล่าสุดบน Boeing 777-300ER
- พรีวิว! ที่นั่ง Business Class แบบใหม่ล่าสุดของการบินไทย บน Boeing 787-9
- รีวิว Prestige Suites ที่นั่ง Business Class แบบใหม่บนสายการบิน Korean Air
- การบินไทย มีที่นั่ง Business Class แบบไหนบ้าง? + วิธีจองให้ได้ที่นั่งแบบใหม่
- รีวิว ScootBiz สายการบิน NokScoot เส้นทางดอนเมือง-ไทเป ที่นั่งกว้าง ราคาเบา
- รีวิว First Class แบบใหม่ของ Singapore Airlines – Boeing 777-300ER
- รีวิว “The Private Room” โคตรเลานจ์ของสนามบิน Singapore Changi
- รีวิวไฟลต์สุดน่ารัก เครื่องบิน “Gudetama” ไข่ขี้เกียจ ลำเดียวในโลก
- รีวิว การบินไทย Royal Silk Class บน Airbus A350-900 XWB รุ่นล่าสุด
- รีวิว Etihad ‘Business Studio’ ชั้นธุรกิจที่ไม่มีความทัดเทียม (B77W/A380)
- รีวิว United Polaris Business Class ชั้นธุรกิจรูปแบบใหม่ของ UA
- รีวิว First Class สายการบิน ANA สุดยอดความหรูหราแบบญี่ปุ่น
- รีวิว First Class Suite สายการบิน Asiana หรู เนี๊ยบ สไตล์เกาหลี
- รีวิว Business Class บน A380 สายการบิน Emirates
- รีวิว ชั้น Smile Plus (ชั้นประหยัดพรีเมียม) สายการบินไทยสมายล์
- รีวิว Lufthansa Business Class บน Boeing 747-8I
- รีวิว Etihad First Class “Apartment” ที่สุดของการเดินทางในชั้นเฟิร์สคลาส
- เจาะลึก การบินไทย Boeing 787-8 Dreamliner เครื่องบินที่ไฮเทคที่สุดในฝูงบินปัจจุบัน
- รีวิว Business Class บน Airbus A380 สายการบิน Singapore Airlines
- รีวิว Business Class สายการบิน ANA เส้นทางโตเกียว-ซานฟรานฯ (Boeing 777-300ER)
- รีวิว Royal Silk Class บนการบินไทย Boeing 787 Dreamliner
- รีวิว United Business First Class บน Boeing 787-8 Dreamliner
- รีวิว Business Class สายการบิน ANA เส้นทางกรุงเทพ-โตเกียว (Boeing 777-200ER)
- รีวิว การบินไทย ชั้นธุรกิจ Royal Silk Class ใหม่ การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของการบินไทย
- รีวิว Business Class สายการบิน Austrian เส้นทางกรุงเทพ-เวียนนา
- รีวิว การบินไทย Royal First Class เส้นทางกรุงเทพ-แฟรงก์เฟิร์ต
- รีวิว Royal Laurel Class สายการบิน EVA Air เส้นทางไทเป-ซานฟรานซิสโก
- รีวิว เครื่องบินที่มุ้งมิ้งกระดิ่งแมวที่สุดในโลก Hello Kitty Jet
- รีวิว Royal First Class บนการบินไทย Airbus A380 เส้นทางกรุงเทพ-โตเกียว