กลับมารีวิวเครื่องบินอีกครั้งครับ รอบนี้พาไปนั่ง Royal First Class สุดหรูของการบินไทย เส้นทางกรุงเทพฯ – แฟรงก์เฟิร์ต ซึ่งเป็นเที่ยวบินที่ใช้เวลาบินค่อนข้างนาน การบริการในชั้นโดยสารที่ดีที่สุดของการบินไทย จะให้ประสบการณ์การเดินทางที่ดีขนาดไหน ตามไปชมพร้อมกันครับ
ฝูงบินของการบินไทยปัจจุบัน (ตุลาคม 2015) มีเครื่องบินที่มีชั้น Royal First Class อยู่เพียง 2 แบบครับ คือ Airbus A380 และ Boeing 747-400 ซึ่งที่นั่งของ Royal First ในเครื่องบินทั้งสองแบบจะไม่เหมือนกันครับ และ Royal First ของ Boeing 747-400 มีที่นั่งสองแบบอีกต่างหาก คือแบบเก่า (ที่นั่งปรับเอน) กับ แบบใหม่ (มีฉากกั้นเป็นกึ่งๆ Suite)
Disclosure: บทความนี้ เขียนจากประสบการณ์ตรงของผู้เขียน และไม่ได้รับการสนับสนุนใดๆ จากสายการบินหรือตัวแทนที่เกี่ยวข้อง
การเดินทางไปแฟรงก์เฟิร์ตที่ผมจะรีวิวให้ชมครั้งนี้ เป็นความโชคดีในความโชคร้ายครับ คือผมได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่ของการบินไทยในช่วงก่อนวันเดินทาง ว่าเครื่องบิน Airbus A380 เกิดปัญหา จึงจะใช้ Boeing 747-400 ในเที่ยวบินขาไปทดแทน ในขณะที่เที่ยวบินขากลับยังคงเป็น Airbus A380 อยู่เหมือนเดิม ทำให้รีวิวนี้ เราจะได้เห็นที่นั่ง Royal First Class บนเครื่องบินทั้งสองแบบของการบินไทยกันเลย
Flight: TG920
Route: BKK-FRA
Date: 14 Sep 2015
Departure Time: 23:45
Arrival Time: 06:00
Duration: 12 hr 15 mins
Seat: 2A
Class: Royal First Class
Aircraft: Boeing 747-400
Registration: HS-TGB (ศรีสัชนาลัย)
เที่ยวบินขาไป ผมเดินทางด้วย TG920 ครับ ซึ่งตอนนี้เส้นทางกรุงเทพฯ – แฟรงก์เฟิร์ต มีให้บริการเพียงวันละหนึ่งเที่ยวบิน (แต่กำลังจะขยายกลับไปเป็นวันละสองเที่ยวบิน ในช่วงปลายปีนี้) ออกเดินทางเกือบเที่ยงคืน โดยใช้เวลาช่วงกลางคืนอยู่บนเครื่องบินตลอดไฟลต์ จนไปถึงแฟรงก์เฟิร์ตในเวลา 6 โมงเช้า จึงจำเป็นที่เที่ยวบินนี้ต้องมีความสบายอย่างมาก เพื่อให้ผู้โดยสารได้พักผ่อนเต็มที่ พร้อมที่จะลุยในเช้าตรู่ที่เดินทางไปถึงทันทีนั่นเอง
การเดินทางครั้งนี้ ได้รับความประทับใจตั้งแต่ยังไม่ออกเดินทางถึงหนึ่งสัปดาห์เลยครับ เมื่อมีเจ้าหน้าที่โทรศัพท์เข้ามายืนยันไฟล์ตเดินทาง พร้อมสอบถามว่า ต้องการสั่งอาหารอะไรเป็นพิเศษบนเที่ยวบินหรือไม่ และยังสอบถามไซส์ของชุดนอนเอาไว้ล่วงหน้า เพื่อที่จะได้เตรียมไว้ให้ในวันเดินทาง
Check-in
การเช็คอินที่สนามบินสุวรรณภูมิ หากเดินทางด้วยชั้นโดยสาร Royal First Class สามารถมาลงรถที่บริเวณประตู 1 ของอาคารผู้โดยสารได้เลย เพื่อใช้บริการเจ้าหน้าที่ยกกระเป๋าของ Royal First Porter Service ที่มีเคาน์เตอร์เตรียมพร้อมอยู่บริเวณนี้อยู่แล้ว เจ้าหน้าที่ยกกระเป๋าของการบินไทย แต่งกายเรียบร้อย สวมเสื้อกั๊กสีทอง เข้ามาช่วยยกกระเป๋าลงจากรถ เข็นกระเป๋าพาเข้าไปเช็คอินที่โซน Royal First Class พร้อมสอบถามว่ามีจุดหมายเดินทางไปที่ไหน และนำ Passport พร้อมกระเป๋าที่จะโหลด ไปส่งต่อให้เจ้าหน้าที่เช็คอินให้ ส่วนเราก็เดินตามไปนั่งพักที่บริเวณที่นั่งรอได้เลย
เมื่อมานั่งรอแล้ว ก็จะมีเจ้าหน้าที่เอาน้ำเปล่าเย็นๆ มาเสิร์ฟให้ครับ จากนั้น เจ้าหน้าที่เช็คอินก็เดินมาแจ้งถึงความผิดพลาดของรุ่นเครื่องบินที่จะใช้เดินทางไปแฟรงก์เฟิร์ตวันนี้ ว่ามีการเปลี่ยนแปลงจาก Airbus A380 เป็น Boeing 747-400 นะ พร้อมเอาผังที่นั่งมาให้เลือกใหม่ จากนั้นไม่นาน ก็จะเอา Boarding Pass พร้อมแบบฟอร์ม ตม. ที่กรอกให้เสร็จสรรพทั้งขาไปและขากลับ พร้อมพาสปอร์ตกลับมาให้เราเซ็นชื่อครับ
เมื่อได้ Boarding Pass แล้ว เจ้าหน้าที่ยกกระเป๋า ก็จะช่วยเราถือกระเป๋า เพื่อนำไปยังขั้นตอน X-ray และ ตม. ครับ โดยจะเป็นเคาน์เตอร์แยกมาต่างหากสำหรับผู้โดยสาร First Class โดยเฉพาะ โล่งสบาย ไม่มีคิวให้ต้องรอนานครับ
หลังจากผ่านขั้นตอนของ ตม. แล้ว ก็จะลงบันไดเลื่อนมาหนึ่งชั้น เพื่อขึ้นรถกอล์ฟที่จอดรอไว้โดยเฉพาะ นำต่อไปยังห้องรับรอง Royal First Lounge ทันที (แต่ถ้าใครอยากจะไปซื้อของ Duty Free ก่อน ก็บอกเจ้าหน้าที่ได้ครับ มีบริการตามไปช่วยถือของให้ด้วยก่อนที่จะพากลับมาพักผ่อนที่ Royal First Lounge)
Royal First Lounge, Suvarnabhumi Airport
รถกอล์ฟมาส่งถึงหน้า Royal First Lounge อย่างรวดเร็วครับ ห้องรับรองนี้ มีไว้ต้อนรับผู้โดยสาร Royal First Class ของการบินไทย (พร้อมพาเพื่อนเข้าได้อีก 1 คน), สมาชิกบัตร Royal Orchid Plus Platinum และ ผู้โดยสาร First Class ของสายการบินในกลุ่ม Star Alliance ครับ เมื่อมาถึงแล้ว เจ้าหน้าที่ก็จะขอเอา Boarding Pass ไปเก็บข้อมูล ว่าเราเดินทางด้วยเที่ยวบินไหน เมื่อใกล้ถึงเวลาขึ้นเครื่อง จะได้มาเรียกและพาไปเกตได้อย่างตรงเวลานั่นเอง
ด้วยความที่วันนี้ผมเดินทางด้วยไฟลต์ค่ำ ทำให้ห้องรับรอง Royal First มีคนมาใช้บริการค่อนข้างเยอะครับ (ไฟลต์ยุโรปส่วนมากจะออกเดินทางเวลาใกล้ๆ กันหมด) ผมเลือกนั่งที่โซฟาตัวใหญ่ด้านนอก ซึ่งก็จะมีเจ้าหน้าที่เอาเมนูอาหารและเครื่องดื่มมาให้เลือกจากใน iPad ทันทีเลย
ผมเลือกรับน้ำผลไม้รวมปั่น, ซุปข้าวโพด (ทีเด็ดนะครับ แนะนำให้ลอง), และ หมูย่างจิ้มแจ่ว มาทานเล่นแบบเบาๆ ก่อนครับ
อาหารน่าทานทุกจาน และรสชาติดีด้วยครับ สามารถมาพึ่งพาแบบเอาอิ่มได้เลยแบบไม่ต้องหาอะไรทานมาก่อนไฟลต์ก็ยังได้ หรือถ้าทานอิ่มมาแล้ว ของหวาน หรือ ขนมต่างๆ ก็มีให้บริการเยอะมากๆ เช่นกัน เลือกกันได้แบบจุใจไปเลย
ทางด้านห้องน้ำของห้องรับรอง Royal First แบ่งเป็นห้องส่วนตัวย่อยๆ อย่างสวยงาม สะอาดใหม่เอี่ยมทุกครั้งที่เข้า เพราะมีเจ้าหน้าที่ทำความสะอาดทันทีที่มีผู้โดยสารเข้าใช้งานครับ
ส่วนห้องอาบน้ำ ก็มีให้บริการเช่นกัน หน้าตาดีอย่างที่เห็นเลยครับ มีผ้าเช็ดตัว และอุปกรณ์เครื่องใช้ในการอาบน้ำให้ครบพร้อม รอบนี้ผมไม่ได้ใช้บริการ เพราะอาบน้ำมาก่อนแล้ว แต่ถ้าใครมีเที่ยวบินต่อมาจากที่อื่น หรือ ตั้งใจจะมาอาบน้ำที่ห้องรับรองนี้ ก็ไว้ใจได้เลยครับ ไม่ผิดหวังแน่นอน
นั่งพักและทานอะไรไปสักครู่ ยังมีเวลาเหลือก่อนขึ้นเครื่องอีกเกือบชั่วโมง เจ้าหน้าที่ในห้องรับรองมาถามว่าจะไปใช้บริการ Royal Orchid Spa หรือบริการนวดแผนไทยหรือไม่ ก็เลยตอบรับไปครับ
Royal Orchid Spa
บริการ Royal Orchid Spa มีให้ใช้ฟรีสำหรับผู้โดยสาร Royal First Class และ Royal Silk Class ของการบินไทยเที่ยวบินระหว่างประเทศเท่านั้นครับ (พาเพื่อนเข้าไม่ได้) โดยจะต้องจองคิวใช้บริการตามลำดับ มีให้บริการต่างๆ ดังนี้ครับ
- Touch of Silk บริการนวดน้ำมัน แบบทั้งตัว ใช้เวลา 60 นาที (สำหรับผู้โดยสาร Royal First Class เท่านั้น)
- Royal Thai Massage บริการนวดทั้งตัว ใช้เวลา 60 นาที (สำหรับผู้โดยสาร Royal First Class เท่านั้น)
- บริการนวดคอและไหล่ ใช้เวลา 30 นาที
- บริการนวดเท้า ใช้เวลา 30 นาที
รอบนี้มีเวลาไม่เยอะมาก ผมเลือกใช้บริการนวดเท้า ใช้เวลา 30 นาทีครับ โขคดีที่คิวไม่เยอะมาก รอไม่นานครับ
ผู้โดยสาร Royal First Class จะมีโซนรับรองแยกต่างหากภายใน Royal Orchid Spa นี้ด้วย และมีห้องพร้อมคิวแยกต่างหากจาก Royal Silk Class ครับ
บริการนวดเท้าก็เป็นไปอย่างมืออาชีพมาก ใช้เวลา 30 นาทีพอดิบพอดี ผ่อนคลายกันไปก่อนที่จะต้องเดินทางเป็นเวลานาน เมื่อเสร็จจาก Royal Orchid Spa แล้ว ก็กลับไปพักผ่อนต่อที่ Royal First Lounge เพื่อรอเวลาเรียกขึ้นเครื่องครับ
Boarding
เวลาประมาณ 23:20 น. เจ้าหน้าที่ของ Royal First Lounge ก็เดินมาแจ้งว่า TG920 พร้อมที่จะออกเดินทางแล้ว จากตรงนี้ก็เดินไปที่เกต เพื่อขึ้นเครื่องได้เลยโดยไม่ต้องนั่งรอที่เกตแล้วครับ ที่หน้าเกตขึ้น Final Call พอดี
On Board
เมื่อเดินเข้ามาในเครื่องบิน และแสดงบัตรที่นั่ง Royal First Class ก็จะมีพนักงานต้อนรับพาไปถึงที่นั่งเลยครับ โดย Boeing 747-400 นี้ ตำแหน่งของ Royal First Class จะอยู่บริเวณหน้าสุด ชั้นล่างของเครื่องบิน (Boeing 747-400 จะมีสองชั้นบริเวณหัวเครื่องบิน ซึ่งชั้นบนจะเป็น Royal Silk Class และห้องนักบิน) ไฟลต์นี้ที่นั่งผมคือ 2A ก็คือที่นั่งแถวที่สองจากด้านหน้า ริมหน้าต่างครับ
Royal First Class บน Boeing 747-400 ลำนี้ เป็นที่นั่งที่ถูกปรับปรุงใหม่แล้ว มีทั้งหมด 9 ที่นั่ง แต่ละที่นั่งมีฉากกั้นเพื่อความเป็นส่วนตัวอย่างดี เบาะที่นั่งสามารถปรับเอนเพื่อนอนราบได้ เปรียบเทียบพื้นที่แล้ว ใกล้เคียงกับ Royal First Class บน Airbus A380 เลยครับ
หลังจากนั่งประจำที่ ทำความคุ้นเคยกับที่นั่งได้สักพัก พนักงานต้อนรับประจำ Royal First Class ก็มาแนะนำตัวและเรียกชื่อผมได้ถูกต้อง พร้อมกับนำชุดนอนตามไซส์ที่ผมได้แจ้งไว้ก่อนเดินทางมาให้ และนำตัวเลือกของเครื่องดื่ม Welcome Drink มาให้ครับ แน่นอนว่าต้องเป็นแชมเปญ Dom Pérignon 2004 ที่เป็นซิกเนเจอร์ของ Royal First Class ของการบินไทย
จากนั้น ก็จะมีเมนูอาหารของไฟลต์นี้มาให้เลือกครับ ซึ่งผมไม่ได้เลือกอาหารพิเศษมาล่วงหน้า ก็ต้องเลือกจากในเมนูที่มีให้นี้
Seat Features / Amenities
ที่นัง Royal First Class บน Boeing 747-400 ที่ปรับปรุงใหม่ นี่มีขนาดใหญ่มากทีเดียวครับ เหมือนนั่งบนโซฟาตัวใหญ่ๆ ใช้โทนสีน้ำตาลเข้ม ตัดกับสีเหลืองของผ้ารองศีรษะ นั่งสบาย มีหมอนมาให้สองใบ ขนาดเล็ก และขนาดใหญ่
แต่ละที่นั่งจะมีฉากกั้น เพื่อความเป็นส่วนตัว โดยแต่ละที่นั่งสามารถปรับเอนนอนราบได้ 180 องศา มีพื้นที่วางขาอยู่ปลายที่นั่งอีกด้าน พร้อมหน้าจอความบันเทิงขนาด 23 นิ้ว ใหญ่สะใจ มีดอกกล้วยไม้สดประดับอยู่เพื่อแสดงถึงสัญลักษณ์ของการบินไทย
ด้านหน้าของหน้าจอ มีช่องเก็บของ ที่เป็นตำแหน่งของปลั๊กไฟแบบ Universal ในนี้จะมีนิตยสาร และ ชุดหูฟัง
ด้านข้างของที่นั่ง เป็นตำแหน่งของที่เก็บรีโมทสำหรีบควบคุมหน้าจอ และยังมีหน้าจอขนาดเล็กอีกหนึ่งตัว ซึ่งเป็นเมนูสำหรับการปรับตำแหน่งที่นั่ง สามารถกดแตะจอเพื่อปรับเลื่อนตำแหน่งต่างๆ ได้อย่างง่าย เข้าใจได้ทันทีจากรูปภาพที่แสดงอยู่ ส่วนอีกด้านเป็นตำแหน่งของหลอดไฟสำหรับอ่านหนังสือ
ชุด Amenities ที่แจกให้กับผู้โดยสาร Royal First Class ของการบินไทย เป็นชุดกระเป๋า Rimowa ที่นักสะสมหลายคนชื่นชมครับ ไฟลต์นี้ผมได้สีน้ำเงินเข้ม ภายในกระเป๋าประกอบไปด้วยเครื่องใช้อำนวยความสะดวกในการบิน เช่น ผ้าปิดตา ที่อุดหู ถุงเท้า โลชั่น ชุดแปรงฟัน หวี ลิปบาล์ม ฯลฯ
ชุดนอนของ Royal First Class มาในถุงผ้าอย่างดี ภายในเป็นชุดนอนสีน้ำตาลเข้ม เสื้อยืดแขนยาว กับกางเกงยางยืด ใส่สบาย ผมลุกมาเปลี่ยนเป็นชุดนอนอันนี้เลยตั้งแต่เครื่องยังไม่ออก จะได้เตรียมพักผ่อนอย่างเต็มที่
Lavatory
ห้องน้ำของ Royal First บน Boeing 747-400 มีให้ใช้ทั้งหมด 2 ห้องครับ (สำหรับผู้โดยสาร 9 คน) ตั้งอยู่บริเวณโซนหลังสุดของ Royal First Class มีขนาดห้องน้ำที่ไม่ได้ใหญ่โตมากนัก (เทียบไม่ได้เลยกับ Royal First บน Airbus A380) โดยรวมแล้วก็เป็นห้องน้ำขนาดมาตรฐานทั่วไปครับ
Amenities ที่มีให้ในห้องน้ำ พวกโลชั่น น้ำหอม เป็นของ L’Occitane ทั้งหมดครับ และในห้องน้ำก็จะมีชุดแปรงสีฟัน+ยาสีฟันเตรียมไว้ให้ นอกเหนือจกในชุดกระเป๋า Rimowa ที่แจกให้กับผู้โดยสาร First ทุกคนอยู่แล้ว
In-flight Cuisine
เมื่อเครื่องเทคออฟขึ้นและรักษาระดับแล้ว พนักงานต้อนรับก็มาเปิดโต๊ะให้ครับ ซึ่งเห็นโต๊ะครั้งแรกนี่ต้องมีตกใจกันบ้าง เพราะเป็นโต๊ะไม้ขนาดใหญ่ อย่างหนา และหนักพอสมควร พับอยู่บริเวณช่องเก็บด้านข้างที่นั่ง ดูดีเลยทีเดียว
ผ้าปูโต๊ะ และชุดขนมปังออเดิร์ฟ มาวางให้ทั้งตะกร้า พร้อมจานกระเบื้องอย่างสวย
พนักงานต้อนรับเข็นเอาชุดคาเวียร์ และเครื่องเคียง มาให้เลือกถึงข้างที่นั่งครับ เพื่อมาทานแกล้มไปกับออเดิร์ฟจานแรก คือ เทอรีนตับเป็ด สลัดกุ้ง และ คาราเมลแอปเปิ้ล
เมนคอร์สของผมที่เลือกไว้ คือ Pork Cordon Bleu เสิร์ฟพร้อมมันฝรั่ง และผักอบ อุ่นร้อนมาพอดิบพอดี หั่นแล้วชีสไหล รสชาติกลมกล่อม ไม่เลี่ยนเกินไป
ปิดท้ายมื้ออาหารตอนตีหนึ่งครึ่ง ด้วยผลไม้สดหลายชนิด (จริงๆ แล้วมีชีสให้เลือกทานด้วย แต่ผมขอรับเฉพาะผลไม้ครับ)
Flat Bed
เมื่อเสร็จจากมื้ออาหารแล้ว สามารถให้พนักงานมาทำการ “ปูเตียง” ได้ครับ โดยแต่ละที่นั่งจะมีชุดผ้าปูที่นอน และผ้าห่มนวม อยู่ในช่องเก็บของอยู่แล้ว พอเรียกแล้วพนักงานต้อนรับก็จะมาปูเตียงให้ด้วยความชำนาญ
ฟินสิครับ ปูเตียงพร้อมนอนขนาดนี้ บวกกับชุดนอนที่ให้มา ความสบายไม่ต่างจากนอนหลับบนเตียงทั่วไปเลย ใส่ Earplug อุดหูเพื่อกันเสียงจากเครื่องยนต์เจ็ต ก็หลับไปได้ไม่ยากครับ เรียกว่าไม่รู้สึกว่าอยู่บนเครื่องบินเลยทีเดียว ข้อดีของที่นั่ง Royal First บน Boeing 747-400 ตัวนี้ คือมันไม่มีช่องอะไรมาบังอยู่ด้านบนครับ จะนอนชันเข่า หรือ พลิกตัว ก็ไม่ไปติดกับแผงกั้นอะไรทั้งนั้น และความยาวก็พอเหมาะ ไม่สั้นจนเกินไป ให้ความสบายสุดๆ ไปเลย
Breakfast
ข้ามมาถึงตอนตื่นเลยละกันครับ ประมาณ 1 ชั่วโมง 45 นาทีก่อนจะถึงจุดหมายปลายทางที่แฟรงก์เฟิร์ต ก็ถึงเวลาที่จะเสิร์ฟอาหารเช้า ซึ่งเราสามารถเลือกที่จะบอกพนักงานต้อนรับไว้ล่วงหน้าได้เลยว่าจะให้ปลุกหรือไม่
พนักงานต้อนรับ นำสมูทตี้ผลไม้ แช่เย็นมาปลุกเป็นอย่างแรก ดื่มแล้วสดชื่น ตื่นสบาย
เตียงถูกเก็บ ทั้งผ้าปูที่นอนและผ้าห่ม เพื่อกลับมาเป็นที่นั่งปกติอีกครั้ง พนักงานต้อนรับกางโต๊ะ และปูโต๊ะด้วยเครื่องใช้มาตรฐาน พร้อมเสิร์ฟตะกร้าขนมปัง, คอร์นเฟลกส์, ชาร้อน, และ ผลไม้สด
อาหารเช้าที่ผมเลือกไว้ คือ Spanish Omelette และไส้กรอกลูกวัว + ไส้กรอกไก่ เสิร์ฟพร้อมมะเขือเทศอบ และ แพนเค้กมันฝรั่งครับ รสชาติโอเค ไม่ถึงกับพีคมาก
Frankfurt Airport Arrival
เดินทางถึงสนามบินแฟรงก์เฟิร์ตในเวลาเช้าตรู่ครับ การบินไทยเปิดให้ผู้โดยสาร Royal First ลงจากเครื่องบินเป็นกลุ่มแรก โดยต้องผ่านขั้นตอนการตรวจคนเข้าเมืองตามปกติ ไม่มีช่องทางพิเศษใดๆ ที่สนามบินนี้ จากนั้น ก็มารอรับกระเป๋าที่สายพานที่ถูกแยกไว้ต่างหาก (ไฟลต์นี้จะมีสองสายพาน คือสายพานกระเป๋าของผู้โดยสารชั้นพรีเมียม และสายพานกระเป๋าของผู้โดยสารทั่วไป) รอไม่นานกระเป๋าก็ถูกลำเลียงออกมา เป็นอันสิ้นสุดการเดินทางด้วย Royal First Class ไฟลต์กรุงเทพฯ – แฟรงก์เฟิร์ตโดยสวัสดิภาพ
เรามาดูขากลับกันบ้างครับ ที่คราวนี้จะเป็น Airbus A380 ตามปกติแล้ว
Flight: TG921
Route: FRA-BKK
Date: 20 Sep 2015
Departure Time: 14:45
Arrival Time: 06:25
Duration: 9 hr 40 mins
Seat: 1K
Class: Royal First Class
Aircraft: Airbus A380-800
Registration: HS-TUE (ศรีราชา)
ไฟลต์ขากลับ จาก แฟรงก์เฟิร์ต ไปยังท่านอากาศยานสุวรรณภูมิ TG921 ออกเดินทางเวลา 14:45 น. ครับ ผมเผื่อเวลาประมาณ 2 ชั่วโมง มาถึงสนามบินแฟรงก์เฟิร์ตปรมาณเที่ยงครึ่ง
Check-in
ที่สนามบินแฟรงก์เฟิร์ต มีเคาน์เตอร์เช็คอินของการบินไทย Royal First Class แยกออกมาชัดเจนครับ โดยมีทั้งเจ้าหน้าที่เช็คอินท้องถิ่น และผู้จัดการประจำท่าอากาศยานที่เป็นคนไทย ให้การต้อนรับบริเวณเคานเตอร์นี้
ที่น่าประทับใจ คือหลังจากเช็คอินแล้ว จะมีพนักงานท้องถิ่น (ไม่ใช่คนไทยนะ) มาช่วยเข็นกระเป๋าเพื่อพาเราผ่านขั้นตอนของ ตม. ด้วยช่องทางพิเศษด้วย กรณีนี้คือไปผ่านช่องทางของพาสปอร์ต EU ที่ไม่มีคิวครับ เจ้าหน้าที่คนนี้จะอยู่ช่วยอำนวยความสะดวกให้เราตลอด ไม่ว่าจะซื้อของใน Duty Free หรือพาไปนั่งพักผ่อนที่ Lounge ยาวไปจนถึงส่งขึ้นเครื่องที่หน้าประตูเครื่องบินเลย
Lufthansa Senator Lounge, Frankfurt Airport
เลานจ์สำหรับผู้โดยสาร Royal First Class ที่สนามบินแฟรงก์เฟิร์ตนี้ มาใช้ร่วมกับ Senator Lounge ของสายการบิน Lufthansa เจ้าถิ่นครับ โดยสามารถเข้าใช้ได้เฉพาะผู้โดยสารที่ถือบัตรที่นั่ง First Class ของสายการบินในกลุ่ม Star Alliance ทีเดินทางจากสนามบินนี้ และผู้ถือบัตร Miles & More Senator Card รวมถึง Star Alliance Gold
ภายใน Lufthansa Senator Lounge ค่อนข้างกว้างเลยครับ มีพื้นที่หลายโซนสำหรับนั่งพักผ่อน และมีมุมที่สามารถมองเห็นเครื่องบินได้ด้วย
มุมสำหรับนั่งทำงาน ปริ๊นเตอร์ ที่ชาร์จมือถือ ฯลฯ มีให้ครบพร้อมใน Lounge นี้
อาหารและเครื่องดื่ม อาจจะดูไม่แน่นเท่ากับเลานจ์ในสนามบินโซนบ้านเราครับ ไม่เน้นอาหารหนักเท่าไหร่ อาหารอาจจะไม่ถูกปากคนเอเชีย แต่ก็พอจะมีให้เลือกและเสิร์ฟอย่างเพียงพอตลอดเวลา
ทีเด็ดของ Senator Lounge ที่นี่ น่าจะเป็นห้องอาบน้ำครับ ที่มีให้ใช้บริการได้ฟรี แต่ต้องขอกุญแจจากเจ้าหน้าที่ก่อน ภายในกว้างขวางอย่างมาก และมีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบทุกอย่าง สะอาด และสวยงามอย่างที่เห็นเลย
Boarding
ที่ Senator Lounge ไม่มีประกาศขึ้นเครื่องครับ แต่เจ้าหน้าที่คนที่มาดูแลเรา จะมาเรียกเมื่อถึงเวลา Boarding ของเรา เพื่อช่วยถือของและพาไปยังเกต ซึ่งก็ได้เวลาขึ้นเครื่องพอดิบพอดี ไม่ต้องไปนั่งรอที่หน้าเกตแล้ว
นกยักษ์ Airbus A380-800 พร้อมที่จะพาเราเดินทางกลับไปสนามบินสุวรรณภูมิครับ โดยผู้โดยสาร Royal First จะมีสะพานเชื่อมไปยังชั้นบน ส่วนหน้าสุดของเครื่องบิน
รอบนี้ผมได้ที่นั่ง 1K ครับ เป็นที่นั่งแถวหน้าสุดริมหน้าต่าง โดยที่นั่ง Royal FIrst Class บน Airbus A380-800 ของการบินไทย จะมีทั้งหมด 12 ที่นั่ง (3 แถว แถวละ 4 ที่นั่ง) แต่ละที่นั่งมีฉากกั้นเพื่อความเป็นส่วนตัว เป็นที่นั่งแบบใหม่ที่สุดของการบินไทย ให้ความเป็นส่วนตัวสูงที่สุด และมีขนาดใหญ่ที่สุดในบรรดาที่นั่งทั้งหมดของฝูงบินการบินไทยปัจจุบัน
ตามขั้นตอนครับ พนักงานต้อนรับมาแนะนำตัว พร้อมเอาชุดนอนตามไซส์ที่ได้สั่งเอาไว้ล่วงหน้ามาให้ พร้อมถามถึงตัวเลือกของ Welcome Drink และนำเมนูอาหารมาให้เลือก
แชมเปญดอมสักแก้วก่อนออกเดินทาง ยังคงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดอยู่
Seat Features / Amenities
ที่นั่งแบบกึ่งๆ Suites ของ Royal First บน A380 ตกแหต่งด้วยโทนสีครีมอ่อน เป็นที่นั่งขนาดใหญ่ นั่งสบายอย่างมาก มีหมอนมาให้สองใบสองขนาด
หน้าจอความบันเทิง ขนาด 23 นิ้ว ใหญ่สะใจอยู่บริเวณปลายที่นั่ง พร้อมหูฟัง Noise Cancellation (ขั้วสายเริ่มชำรุด และมีเสียงซ่าๆ เมื่อขยับ ผมเลยขอเปลี่ยนตัวใหม่ครับ)
ด้านข้างของที่นั่ง เป็นตำแหน่งของรีโมทควบคุมหน้าจอความบันเทิง และปุ่มปรับที่นั่งอย่างละเอียด รวมถึงมีปุ่มปรับอย่างง่ายสามตำแหน่ง คือตำแหน่ง Upright สำหรับก่อนเครื่องขึ้นและลง, ตำแหน่งทานอาหาร และ ตำแหน่งนอนราบ
ภายในกล่องเก็บของด้านข้าง เป็นตำแหน่งของปลั๊กไฟแบบ Universal และตำแหน่งของหัวชาร์จ USB อีก 2 ตำแหน่ง สามารถใช้ชาร์จโทรศัพท์มือถือและแทบเล็ตได้
บริเวณช่องวางเท้าที่ปลายที่นั่ง จะมีกระเป๋าชุดผ้าปูที่นอน, ผ้าห่มนวม และ รองเท้าสำหรับใช้บนเครื่องบินมาให้ด้วยครับ
สำหรับกระเป๋า Ameneties ของ Rimowa ที่ให้มาในไฟลต์นี้ ผมได้สีขาวครับ เป็นชุดที่สวยงามลงตัวมาก เท่าที่ส่องๆ ดู ในไฟลต์เดียวกันแต่ละที่นั่งจะได้สีเดียวกันนะครับ
ที่บริเวณเคานเตอร์บาร์ ส่วนหน้าสุดของเครื่องบิน จะมีหนังสือพิมพ์ และ นิตยสารให้มาเลือกหยิบได้ตามใจชอบครับ ซึ่งเคานเตอร์บาร์ส่วนนี้ จะถูกแปลงเป็นเคานเตอร์บาร์เครื่องดื่ม เมื่อเครื่องบินทำการบินขึ้นแล้ว
In-flight Cuisine
ออเดิร์ฟแรก เป็นถั่วนานาชนิดใส่ถ้วยมาครับ แต่ทีเด็ดคือ มันถูกอุ่นร้อนมาแบบพอดิบพอดี แลเมื่อสั่งแชมเปญ Dom Pérignon 2004 มาทานด้วย ก็ได้เจอกับเซอร์ไพรส์
แก้วแชมเปญถูกชิลมาอย่างดี ทานคู่กับถั่วที่ถูกอุ่นร้อนๆ มา กลายเป็น perfect combination สำหรับเริ่มต้นไฟลต์นี้ได้ดีทีเดียว
คานาเป้ถูกเสิร์ฟตามมาครับ ขนาดเล็กๆ พอดีคำ อร่อยทุกชิ้นเลยจานนี้
จากนั้นก็ถึงเวลาของคาเวียร์ พร้อมเครื่องเคียงครับ แต่ว็อดก้านี่ผมขอผ่านไปก่อน
อาหารจานแรกถูกเสิร์ฟตามมา เป็นทูน่า กุ้งมังกร มูส artichoke ข้าววีนัส และ สลัด บีบมะนาวทานไปพร้อมกัน กลมกล่อมและหมดลงอย่างรวดเร็วเลย
เมนคอร์สรอบนี้ เนื่องจากเดินทางจากเยอรมัน ที่ห่างจากอาหารไทยมาหลายมื้อ เลยขอจัดข้าวหอมมะลิ แกงมัสมั่นไก่ครับ ถูกจัดวางมาในชามกระเบื้องสวยงาม หอมน่าทานมากๆ และรสชาติก็ออริจินัลมากๆ ด้วย
เสร็จจากเมนคอร์ส ก็เป็นคิวของผลไม้สด + ชีสครับ พนักงานต้อนรับเข็นมาให้เลือกกันถึงข้างที่นั่งเลย
ในใจคืออิ่มจนจุกแล้ว แต่พนักงานต้อนรับก็ยังแอบเชียร์เค้ก บอกว่าอร่อยนะ อยากให้ลอง พร้อมจัดมาให้อีก 2 ชิ้นครับ ทานเรียบไม่มีเหลือ … เหลือบดูนาฬิกา เพิ่งจะประมาณบ่ายสี่โมงกว่าๆ ของเยอรมัน (สามทุ่มกว่าเมืองไทย) … เอาน่ะ ลองข่มตานอนดูก็ได้
Flat Bed
ตัดสินใจบอกพนักงานต้อนรับ ให้มาปูเตียงครับ พนักงานก็จะมากดปุ่มปรับที่นั่งให้นอนราบ และใช้ชุดผ้าปูที่นอนในกระเป๋ามาปูเตียงให้อย่างรวดเร็ว
ใช้เวลาไม่กี่นาที ที่นั่ง Royal First Class ของ Airbus A380-800 ก็กลายสภาพมาเป็นเตียงน่านอนครับ ผมเริ่มเห็นที่นั่งอื่นๆ เริ่มปรับโหมดมานอนแล้วเหมือนกัน ไฟของห้องโดยสารก็ถูกหรี่ลง เพื่อให้ได้พักผ่อนกันได้อย่างเต็มที่
พื้นที่ของที่นั่งหลังจากปรับมานอนราบแล้ว ต้องบอกว่ากว้างมากทีเดียวครับ มีพื้นที่ให้พลิกตัว ปรับหาท่านอนที่สบายกันได้แบบเหลือเฟือ เว้นตรงช่วงปลายเตียงที่เป็นตำแหน่งของโต๊ะนิดหน่อย ที่อาจจะไม่สะดวกในการชันเข่าขึ้นมาบ้าง แต่โดยรวมถือว่ากว้างมากๆ และให้ความสบายได้สุดมาก
Lavatory
ห้องน้ำของ Royal First Class บน Airbus A380 ของการบินไทย ถือว่าเป็นซิกเนเจอร์ครับ เพราะเป็นห้องน้ำเครื่องบินที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของฝูงบินการบินไทย เริ่มจากบริเวณหน้าห้องน้ำ ที่อยู่ส่วนหน้าสุดของเครื่องบิน ติดกับบันไดที่สามารถเชื่อมลงไปถึงชั้นล่างได้ (ห้องน้ำของ Royal First จะมีสองห้องครับ คือห้องที่อยู่ด้านหน้าอันนี้ ที่มีขนาดใหญ่มากๆ กับอีก 1 ห้อง อยู่โซนด้านหลังของที่นั่ง Royal First ที่จะมีขนาดเล็กกว่า)
เมื่อเดินเข้ามาในห้องน้ำแล้ว มันถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน คือส่วนของพื้นที่แต่งตัว
พื้นที่แต่งตัว จะมีโซฟา พร้อมกระจกแต่งหน้า/แต่งตัว และไฟส่องสว่างแบบจัดเต็ม มีโต๊ะสำหรับวางอุปกรณ์แต่งหน้าต่างๆ ได้ และมีผ้าขนหนูขนาดเล็กเตรียมพร้อมไว้ให้ใช้ได้อย่างเหลือเฟือ กับ Amenities ต่างๆ เช่นโลชั่น และน้ำหอม
อีกด้านหนึ่งของห้องน้ำ เป็นส่วนของส้วมและอ่างล้างมือ มีพื้นที่ให้ใช้อย่างกว้างขวางเช่นกัน ถูกตกแต่งด้วยโทนสีสะอาดตา และมีพนักงานต้อนรับเข้ามาทำความสะอาดอย่างสม่ำเสมอครับ เป็นห้องน้ำเครื่องบินที่ดีมากที่สุดแบบหนึ่งเมื่อเทียบกับสายการบินพาณิชย์อื่นๆ เลยก็ว่าได้
Breakfast
มื้อเช้า ก่อนเครื่องจะทำการลดรดับลงท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ยังเปิดมาด้วยสมูทตี้แช่เย็น ที่ผมชื่นชอบมากๆ ครับ สดชื่น ตื่นสบายเลย ตอนนี้ไฟในห้องโดยสารยังไม่ถูกดิมขึ้นนะครับ
ที่นั่งถูกปรับมาอยู่ในตำแหน่งปกติอีกครั้ง พนักงานต้อนรับเลื่อนโต๊ะเข้ามาพร้อมปูโต๊ะ และวางอุปกรณ์ต่างๆ ตะกร้าขนมปังหลากหลายชนิด ผมขอรับชามะนาวร้อนมาพร้อมกันด้วย
คอนเฟล็กซ์ กับนมสดเย็นๆ ถูกเสิร์ฟตามมาครับ จริงๆ มีตัวเลือกของมูสลี่ ซีเรียลหลายชนิด และ โยเกิร์ตผลไม้รวมด้วย
อาหารเช้าจานหลัก เป็นออมเลต ไส้กรอกลูกวัว เสิร์ฟพร้อมมันฝรั่ง และมะเขือเทศย่าง รสชาติมาตรฐานสไตล์อาหารเช้าฝรั่งทั่วไป จานนี้ไม่ได้มีอะไรโดดเด่นครับ
ผลไม้ถูกเสิร์ฟตามมา จัดวางอย่างดีมากๆ ครับหั่นสวยงาม และหวาน สดทุกชิ้น
Suvarnanbhumi Airport Arrival
หกโมงเช้า ก็ได้เวลาที่เครื่องทำการลดระดับลงสู่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิครับ เมื่อเครืองลงจอดแล้ว พนักงานต้อนรับก็เปิดโอกาสให้ผู้โดยสาร Royal First ลงจากเครื่องบินเป็นกลุ่มแรก โดยกันผู้โดยสารในชั้น Royal Silk Class ให้รอก่อน
เมื่อเดินออกจากเครื่องบินมา ก็จะมีรถกอล์ฟ พร้อมชื่อผู้โดยสาร Royal First จอดรออยู่แล้ว เพื่อพาไปยังด่านตรวจคนเข้าเมืองอย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องเดินให้เมื่อยครับ
หลังจากผ่าน ตม. ช่องพิเศษมาแล้ว พนักงานก็จะนำมารอกระเป๋าที่สายพานทันที ซึ่งพนักงานก็จะสอบถามจำนวนและลักษณะกระเป๋า เพื่อที่จะยกออกจากสายพานให้ บริการน่าประทับใจอย่างมาก
พนักงานคนเดิม จะเข็นกระเป๋าทั้งหมดให้ เพื่อไปส่งถึงรถเลยครับ ไม่ว่าจะเป็นรถที่มารอรับ หรือ ถ้าจอดรถไว้ ก็จะส่งให้ถึงอาคารจอดรถเลยทีเดียว เป็นอันเสร็จสิ้นการบริการสุดประทับใจของ Royal First Class ในเที่ยวบินขากลับครับ
สรุป
การบินไทยยังคงรักษามาตรฐานได้อย่างยอดเยี่ยมครับ กับการบริการผู้โดยสารในชั้นพรีเมียมของตัวเอง ตลอดการเดินทางแทบจะไม่มีข้อผิดพลาดใดๆ ให้ได้เห็นเลย ราบรื่น สะดวกสบายอย่างมาก และพนักงานทุกคนในทุกๆ ขั้นตอน ก็ยิ้มแย้มแจ่มใส ยินดีช่วยเหลืออย่างมากทุกครั้งที่สอบถาม เมื่อเปรียบเทียบกับสายการบินอื่นๆ แล้ว ผมว่าการบริการของการบินไทย ไม่แพ้ใครแน่ๆ ครับ
ที่นั่ง Royal First Class ของการบินไทย ปัจจุบันมีทั้งหมด 3 แบบครับ (2 แบบ บน Boeing 747-400 และ 1 แบบ บน Airbus A380) ส่วนมากถูกปรับปรุงมาใช้ที่นั่งแบบใหม่ที่มีความสบาย และมีความเป็นส่วนตัวสูงแล้ว เหลือเพียง Boeing 747-400 บางลำที่ยังคงใช้ที่นั่ง Royal First แบบเก่า ใช้บินบางเส้นทางอยู่เท่านั้น อย่างไรก็ตาม โดยรวมก็ต้องถือว่าเป็นที่นั่งที่มีความสบาย สามารถใช้โดยสารเส้นทางบินไกลๆ ได้แบบไม่ต้องห่วงว่าจะไม่ได้พักผ่อนครับ และก็ยังได้รับความไว้วางใจจากผู้โดยสารอย่างมาก (เที่ยวบินที่ผมรีวิวนี่ Royal First เต็มทั้งขาไปและกลับนะครับ) โดยเฉพาะผู้โดยสารต่างชาติ ที่เห็นได้เยอะกว่าคนไทยอย่างชัดเจน
ราคาตั๋วโดยสาร Royal First Class เส้นทางไปกลับ กรุงเทพฯ – แฟรงก์เฟิร์ต อยู่ที่ประมาณ 192,000 บาท หรือถ้าใช้ไมล์ Royal Orchid Plus ก็จะใช้ 185,000 ไมล์ บวกค่าภาษีอีกประมาณสองหมื่นกว่าบาทครับ
- พาชม “ARIA SUITE” — Business Class แบบใหม่ของ Cathay Pacific มีประตูปิดทุกที่นั่ง!
- รีวิว First Class สายการบิน SWISS — ขั้นสุดของสวิส เส้นทาง Zurich-Bangkok
- พาเดินงาน AIX 2024 ✈️ — พรีวิวที่นั่งใหม่ การบินไทย Airbus A320 ก่อนใช้จริงสิ้นปีนี้
- รีวิว การบินไทย Royal First Class ปี 2024 — กรุงเทพ-ลอนดอน Boeing 777-300ER
- รีวิว Qatar Qsuite ปี 2024 — ยังเป็น Business Class ที่ดีที่สุดอยู่มั้ย?
- รีวิว ANA “The Suite” — First Class ใหม่ บน Boeing 777-300ER
- รีวิว Dassault Falcon 6X — พาบินไปสิงคโปร์ด้วย Private Jet ลำตัวกว้างสุดในโลก
- รีวิว EVA Air Business Class — ซีแอตเทิล-ไทเป Boeing 787-10
- รีวิวกระเป๋าเดินทาง Samsonite ใหม่ 3 รุ่น — ทน เท่ เบา ล้อดีจริง ฟังก์ชั่นครบ!
- เจาะลึก ATC — เจ้าหน้าที่ควบคุมจราจรทางอากาศ อาชีพสำคัญในอุตสาหกรรมการบิน
- รีวิว Business Class สายการบิน Swiss — กรุงเทพ-ซูริค Boeing 777-300ER
- พาชม “SAT-1” เทอร์มินัลใหม่ สนามบินสุวรรณภูมิ เปิดแล้ววันนี้
- รีวิว Finnair Business Class ที่นั่งแบบใหม่ ใหญ่สบายมาก แต่ปรับเอนไม่ได้! 🤨
- สุดในรุ่น “ACH130 Aston Martin Edition” — เฮลิคอปเตอร์ Airbus ที่ตกแต่งโดย Aston Martin!
- รีวิว Shark Aero เครื่องบินสปอร์ตสายซิ่ง เร็ว แรง ทำสถิติบินเดี่ยวรอบโลกมาแล้ว
- รีวิว Emirates First Class ปี 2023 — บินสบาย อาบน้ำบนเครื่องบิน หรูสุดแบบไม่เกรงใจใคร
- รีวิว ANA 「THE Room」 Business Class แบบใหม่ล่าสุด กว้างสุด มีประตูทุกที่นั่ง
- รีวิวคู่ พาซู่ชิงขึ้น First Class – สายการบิน Cathay Pacific ไปนิวยอร์ก!
- พาเจาะลึก Airbus A330neo ลำใหม่ล่าสุดของ Thai Lion Air
- รีวิว Qatar Qsuite – Business Class ที่ดีที่สุดในโลกประจำปี 2019
- รีวิว First Class สายการบิน Cathay Pacific นิวยอร์ก-ฮ่องกง ยาวๆ 16 ชั่วโมงรวด
- รีวิว Business Class สายการบิน Cathay Pacific นั่งไกลๆ ปรับปรุงเมนูใหม่ อาหารจัดเต็มสุดๆ
- รีวิว First Class สายการบิน Lufthansa พร้อมรีวิว First Class Terminal สนามบิน Frankfurt
- พาชม เจาะลึก Airbus A330neo รุ่นใหม่ล่าสุด ลำแรกของ Thai AirAsia X
- รีวิว Business Class สายการบิน EVA Air ไทเป-ซานฟรานซิสโก (Boeing 777-300ER)
- รีวิว Business Class สายการบิน Hong Kong Airlines เครื่องบินใหม่ ราคาสุดคุ้ม
- รีวิว Business Class – Cathay Pacific บน Boeing 777-300ER เส้นทาง SFO-HKG
- รีวิว Business Class บน Boeing 787-10 ใหม่ล่าสุด สายการบิน Singapore Airlines
- รีวิว Qatar Qsuite – Business Class ที่เหมือน First Class เป็นห้องส่วนตัว ปิดประตูได้!
- บุกศูนย์ฝึกลูกเรือ Singapore Airlines ชมเบื้องหลังเที่ยวบินที่ไกลที่สุดในโลก!
- รีวิว Royal First Class การบินไทย บน Airbus A380 เส้นทางกรุงเทพ-ลอนดอน
- 6 ความลับของ Economy Class รู้แล้วจะนั่งสบายขึ้นอีกเยอะ!
- รีวิว ‘Throne Seat’ ที่นั่ง Business Class แบบใหม่ล่าสุดของการบินไทย
- รีวิวสุดยอด First Class Suites แบบใหม่ล่าสุด บน Singapore Airlines A380
- รีวิว Business Class สายการบิน Cathay Pacific กรุงเทพฯ – ฮ่องกง
- รีวิว Emirates First Class Suites แบบใหม่ล่าสุด – First Class แรกของโลกที่เป็นห้องปิด 100%
- รีวิว ‘Premium Economy’ การบินไทย ดีงามไม่ต่างจาก Business Class
- รีวิว Premium Flatbed ชั้นธุรกิจ สายการบิน Thai AirAsia X
- รีวิว ห้องอาบน้ำบนเครื่องบิน Emirates First Class – Airbus A380
- รีวิว ANA Premium Economy ชั้นประหยัดพรีเมียม นั่งสบาย ในราคาไม่โหดร้าย
- พาชมโรงงาน Boeing พร้อมพา Boeing 787-9 ลำใหม่ของการบินไทยกลับสุวรรณภูมิ
- รีวิว Emirates First Class Suites ห้องส่วนตัวสุดหรูบนเครื่องบิน
- รีวิว First Class สายการบิน Korean Air แบบใหม่ล่าสุดบน Boeing 777-300ER
- พรีวิว! ที่นั่ง Business Class แบบใหม่ล่าสุดของการบินไทย บน Boeing 787-9
- รีวิว Prestige Suites ที่นั่ง Business Class แบบใหม่บนสายการบิน Korean Air
- การบินไทย มีที่นั่ง Business Class แบบไหนบ้าง? + วิธีจองให้ได้ที่นั่งแบบใหม่
- รีวิว ScootBiz สายการบิน NokScoot เส้นทางดอนเมือง-ไทเป ที่นั่งกว้าง ราคาเบา
- รีวิว First Class แบบใหม่ของ Singapore Airlines – Boeing 777-300ER
- รีวิว “The Private Room” โคตรเลานจ์ของสนามบิน Singapore Changi
- รีวิวไฟลต์สุดน่ารัก เครื่องบิน “Gudetama” ไข่ขี้เกียจ ลำเดียวในโลก
- รีวิว การบินไทย Royal Silk Class บน Airbus A350-900 XWB รุ่นล่าสุด
- รีวิว Etihad ‘Business Studio’ ชั้นธุรกิจที่ไม่มีความทัดเทียม (B77W/A380)
- รีวิว United Polaris Business Class ชั้นธุรกิจรูปแบบใหม่ของ UA
- รีวิว First Class สายการบิน ANA สุดยอดความหรูหราแบบญี่ปุ่น
- รีวิว First Class Suite สายการบิน Asiana หรู เนี๊ยบ สไตล์เกาหลี
- รีวิว Business Class บน A380 สายการบิน Emirates
- รีวิว ชั้น Smile Plus (ชั้นประหยัดพรีเมียม) สายการบินไทยสมายล์
- รีวิว Lufthansa Business Class บน Boeing 747-8I
- รีวิว Etihad First Class “Apartment” ที่สุดของการเดินทางในชั้นเฟิร์สคลาส
- เจาะลึก การบินไทย Boeing 787-8 Dreamliner เครื่องบินที่ไฮเทคที่สุดในฝูงบินปัจจุบัน
- รีวิว Business Class บน Airbus A380 สายการบิน Singapore Airlines
- รีวิว Business Class สายการบิน ANA เส้นทางโตเกียว-ซานฟรานฯ (Boeing 777-300ER)
- รีวิว Royal Silk Class บนการบินไทย Boeing 787 Dreamliner
- รีวิว United Business First Class บน Boeing 787-8 Dreamliner
- รีวิว Business Class สายการบิน ANA เส้นทางกรุงเทพ-โตเกียว (Boeing 777-200ER)
- รีวิว การบินไทย ชั้นธุรกิจ Royal Silk Class ใหม่ การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของการบินไทย
- รีวิว Business Class สายการบิน Austrian เส้นทางกรุงเทพ-เวียนนา
- รีวิว การบินไทย Royal First Class เส้นทางกรุงเทพ-แฟรงก์เฟิร์ต
- รีวิว Royal Laurel Class สายการบิน EVA Air เส้นทางไทเป-ซานฟรานซิสโก
- รีวิว เครื่องบินที่มุ้งมิ้งกระดิ่งแมวที่สุดในโลก Hello Kitty Jet
- รีวิว Royal First Class บนการบินไทย Airbus A380 เส้นทางกรุงเทพ-โตเกียว