รีวิววันนี้ ผมพาไปขึ้น First Class บนเครื่องบิน Airbus A380 ของสายการบิน Etihad ที่มีความพิเศษอย่างมาก เพราะเขาไม่ได้เรียกว่าเป็นที่นั่ง แต่เรียกว่าเป็น ‘Apartment’ เลยครับ คือเค้าให้มาทั้งห้องเลย ไม่ได้ให้มาแค่ที่นั่งปกติทั่วไป จะอลังการแค่ไหน ตามมาชมพร้อมกันเลย!
Disclosure: บทความนี้ เขียนจากประสบการณ์ตรงของผู้เขียน และไม่ได้รับการสนับสนุนใดๆ จากสายการบินหรือตัวแทนที่เกี่ยวข้อง
Etihad เป็นสายการบินแห่งชาติของประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ มีฐานที่ตั้งอยู่ที่กรุงอาบูดาบีครับ (อย่าไปสับสนกับสายการบิน Emirates ที่ดูไบนะ) ตามสไตล์ของสายการบินในประเทศตะวันออกกลาง ที่มีความมั่งคั่ง เป็นเศรษฐีน้ำมัน ก็จะจัดเต็มทุกอย่างแบบเว่อวังอลังการ โดยเฉพาะเรื่องการบริหารสายการบิน ที่ไม่ยอมน้อยหน้าสายการบินชั้นนำจากทั่วโลกแน่ๆ ด้วยความได้เปรียบจากต้นทุนค่าน้ำมันที่ถูกกว่า ซึ่งสายการบิน Etihad ก็ได้เปิดตัวการโดยสารในชั้น First Class ที่ยกระดับขึ้นไปอีกขั้น บนเครื่องบินแบบ Airbus A380-800 ในชื่อคลาส “First Apartment” แปลได้ตรงตัว ราวกับมีอพาร์ตเมนต์ส่วนตัวบนเครื่องบินนั่นเองครับ
ปัจจุบัน Etihad ใช้เครื่องบิน Airbus A380 บินในเส้นทาง อาบูดาบี (AUH) ไปยัง ลอนดอน (LHR), นิวยอร์ก (JFK), ซิดนีย์ (SYD) และ มุมไบ (BOM) ครับ ทั้งหมดจะมีชั้นโดยสาร First Apartment ให้เลือกใช้บริการ
ถ้าพร้อมแล้ว ไปสัมผัสประสบการณ์ First Apartment บนเส้นทาง อาบูดาบี – ลอนดอน กันเลย
Etihad Chauffeur
ก่อนที่จะขึ้นเครื่อง ต้องบอกก่อนว่า Etihad ไม่ได้ให้ประสบการณ์แค่บนเครื่องบินเท่านั้น แต่ตั๋วเครื่องบิน First Class ของเขาเนี่ย มีรวมให้บริการรถลีมูซีน (เรียกว่า Etihad Chauffeur) มาด้วยครับ คือเค้าจะส่งรถลีมูซีนมารับจากหน้าบ้านเรา ไปส่งถึงสนามบิน และเมื่อเดินทางถึงปลายทาง ก็จะมีรถมารอรับที่สนามบิน เพื่อไปส่งยังโรงแรมที่พักของเราด้วย อย่างรอบนี้ ก็มีรถมารับถึงหน้าบ้านผมเลย
โดยขั้นตอนคือ หลังจากจองตั๋วเครื่องบินแล้ว ก็จะมีแบบฟอร์มให้กรอกผ่านทางหน้าเว็บ หรือจะโทรจองกับทางสายการบินก็ได้ครับ ทำการนัดแนะเวลากับสถานที่กันเรียบร้อย เมื่อถึงวันเดินทาง ก็จะมีรถมารับถึงหน้าบ้านเลย เป็นรถ Mercedes-Benz E-Class พร้อมคนขับแต่งตัวสุภาพเรียบร้อย มาช่วยอำนวยความสะดวกยกกระเป๋าให้แบบโคตร VIP และไม่ต้องรบกวนใครไปส่งถึงสนามบิน ไม่ต้องรอลุ้น uber ว่าจะมีรถในช่วงนั้นมั้ยให้เสียอารมณ์แต่อย่างใด
ถึงสนามบินอย่างสะดวกสบายครับ คนขับสุภาพเรียบร้อยมาก และในรถก็มีผ้าเย็นและน้ำดื่มบริการด้วย
ต้องออกตัวก่อนว่าการเดินทางไปลอนดอน จากกรุงเทพฯ ด้วยสายการบิน Etihad นั้น ต้องทำการแวะเปลี่ยนเครื่องที่สนามบินอาบูดาบี (AUH) ก่อนครับ ซึ่งเที่ยวบินจาก กรุงเทพ (BKK) ไปยัง อาบูดาบี (AUH) นั้น ไม่ได้ใช้เครื่องบิน Airbus A380 ที่มีชั้นโดยสาร First Apartment แต่อย่างใด มีเป็นที่นั่ง First Class ปกติ ซึ่งเดี๋ยวผมจะแปะรีวิวให้อ่านกันตอนท้ายนะครับ ขอข้ามไปยังเที่ยวบินอาบูดาบี – ลอนดอน เพื่อชม First Apartment กันก่อนเลย
Flight: EY19
Route: AUH-LHR
Date: 19 Jun 2016
Departure Time: 8:00
Arrival Time: 13:05
Duration: 8 hr 5 mins
Seat: 4A
Class: First Apartment
Aircraft: Airbus A380-800
Registration: A6-APA
ก่อนที่จะไปขึ้นเครื่อง ผมอยากให้แวะดูเลานจ์ของ Etihad First Class กันก่อนครับ ซึ่งเป็นเลานจ์ที่ Etihad เพิ่งปรับปรุงใหม่ และเพิ่งเปิดให้บริการเมื่อต้นเดือนมิถุนายน 2016 นี้เอง (ตอนผมไปใช้นี่คือเพิ่งเปิดมาได้ 3 สัปดาห์ ทุกอย่างใหม่มาก)
Etihad First Class Lounge & Spa, Abu Dhabi International Airport
เลานจ์แห่งนี้ ถูกแยกไว้สำหรับผู้โดยสาร First Class ของ Etihad โดยเฉพาะครับ ภายในกว้างขวางมาก แบ่งเป็นโซนรับประทานอาหาร ที่เราสามารถสั่งเป็นเมนูแยกต่างหากได้ตามใจชอบ ทุกจานจะทำให้ใหม่แบบร้อนๆ และจัดวางมาอย่างสวยงาม
โซนรับประทานอาหาร พื้นที่กว้างมากครับ มีหลายโต๊ะ หลายมุมให้เลือก แต่ผู้โดยสารรวมๆ ในนี้ค่อนข้างน้อยอยู่แล้ว จึงมีความเป็นส่วนตัวสูงมาก และมีพนักงานคอยให้บริการอย่างใกล้ชิดตลอด
ห้องอาบน้ำ ก็มีให้บริการครับ น้ำร้อน น้ำแรง มีสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ให้ครบถ้วน เข้าไปตัวเปล่าได้เลย ไม่ต้องเอาอะไรไปเองทั้งนั้น
แต่ที่บ้าบอที่สุด ของเลานจ์สายการบิน ที่ผมไม่เคยเจอที่ไหนมาก่อน ก็คือบริการ Style & Shave หรือว่าบริการตัดผม และ โกนหนวด ที่มีให้เลือกหลายบริการเลยครับ และเป็นบริการ complimentary ให้กับผู้โดยสาร First Class ให้เลือกใช้บริการแบบ express ได้ฟรี … ส่วนตัวผม บอกตามตรงเลยครับว่าไม่กล้า 5555 กลัวออกมาเป็นทรงผมอาหรับ
ถ้าไม่ใช้บริการ Style & Shave ก็ยังมีอีกโซนครับ เป็น Six Senses Spa บริการนวด และทรีตเมนต์ มีหลายเมนูให้เลือกเช่นกัน ทั้งนวดหน้า บ่า ไหล่ หลัง เท้า ฯลฯ จัดให้โดย Six Senses สปาระดับโลก และ complimentary ฟรี 15 นาทีสำหรับผู้โดยสาร First Class เช่นกันครับ หรือถ้าอยากนวดนานกว่านั้น ก็ต้องจ่ายเงินเพิ่มเอง
ก่อนเดินทาง ผมจัดเมนูนวดหน้าไปหนึ่งรายการ (ฟรีอยู่แล้ว ก็ลองจัดเสียหน่อย) ก็ผ่อนคลายดีครับ
นวดเสร็จก็ได้เวลาขึ้นเครื่องพอดีครับ เจ้าหน้าที่ในเลานจ์ก็จะเดินมาแจ้ง เพื่อให้เตรียมตัวเดินไปยังเกตได้ทันเวลา
Boarding
การขึ้นเครื่อง ก็จะมีแถวที่แยกไว้สำหรับผู้โดยสาร First และ Business Class ต่างหาก ตรงนี้ไม่มีอะไรพิเศษครับ
On Board – First Apartment
ความพิเศษจะเริ่มจากตรงนี้ครับ ทันทีที่ผ่านประตูขึ้นเครื่องบิน Airbus A380 ของ Etihad และแสดง boarding pass ในชั้น First Apartment ก็จะมีพนักงานเข้ามาเชิญไปยัง Apartment ส่วนตัวทันที ซึ่งอยู่บริเวณชั้นบน ส่วนหน้าสุดของเครื่องบินครับ ถูกแบ่งออกเป็นห้องๆ อย่างสวยงาม
ปัจจุบันมีเพียง Etihad เท่านั้น ที่กล้าแบ่งที่นั่งบนเครื่องบิน Airbus A380 (ซึ่งเป็นเครื่องบินที่มีลำตัวกว้างมากๆ) เป็นที่นั่งแบบสองแถว โดยมีเพียงทางเดินตรงกลางเท่านั้น ทำให้แต่ละที่นั่งมีพื้นที่กว้างแบบเหลือเชื่อครับ โดยปกติ ต่อให้เป็นที่นั่ง First Class ก็จะแบ่งแถวที่นั่งเป็นสามแถว โดยมีทางเดินบนเครื่องบินสองฝั่ง แต่อันนี้แบ่งได้โหดมาก
มาถึง Apartment ของผม ที่เป็นเลข 4A ครับ หน้าห้องมีระบุชื่อ ‘Apartment 4A’ อย่างชัดเจน … ที่โซนนี้ไม่มีใครเค้าเรียกเป็น Seat กันแล้วครับ แหม่…
บอกเลยครับว่าตื่นเต้นมาก ภายใน Apartment มีหลายส่วนมากๆ แต่ที่เห็นได้ชัดคือมีที่นั่งขนาดใหญ่ และโซฟาตัวยาวๆ ที่สามารถแปลงร่างเป็นเตียงได้เมื่อเครื่องบินขึ้นแล้ว
ส่วนของที่นั่งมีขนาดใหญ่มากกว้างมากและนั่งสบายมากครับมีหมอนรองคอด้านหลังที่สามารถปรับระดับความสูงได้
ปุ่มปรับที่นั่งตัวนี้ อยู่ด้านข้างบริเวณที่วางแขน แต่ด้วยความที่เตียงนอนถูกแยกออกไปต่างหากแล้ว ที่นั่งตัวนี้จึงไม่สามารถปรับให้เอนราบได้ครับ ปรับได้สูงสุดก็จะเป็นท่าเอนหลังที่ให้ความสบายระดับพอดีๆ ส่วนที่วางเท้า ก็จะอาศัยโซฟาฝั่งที่เป็นเตียง ที่สามารถปรับระดับความใกล้ไกลเข้ามาใหเราวางพักเท้าได้พอดี
ม่านหน้าต่างของโซน First Apartment นี้ ปรับด้วยระบบไฟฟ้าครับ มีม่านสองระดับ คือปรับให้กรองแสงนวลๆ สบายตา กับถ้าอีกปิดอีกครั้งก็จะปิดให้มืดทึบเลย ทั้งหมดสามารถปรับได้จากปุ่มข้างที่นั่ง กดครั้งเดียวปิดให้ทั้ง 3 หน้าต่างเลยครับ ไม่ต้องเอื้อมไปปิดเองทีละหน้าต่างด้วย
ใต้ที่วางแขน สามารถเปิดขึ้นมาเจอกับหน้าจอควบคุมที่นั่งอีกอันครับ ตัวนี้จะเป็นตัวปรับละเอียดของที่นั่งตัวนี้ เลือกเปิดปิดไฟในตำแหน่งต่างๆ ใน Apartment รวมถึงสามารถปรับความนิ่มของเบาะที่นั่งได้ 5 ระดับด้วย สุดมากก
หน้าจอความบันเทิงฝั่งตรงข้าม เป็นทีวีขนาด 24 นิ้ว ใหญ่เต็มตา ใช้ระบบความบันเทิงของ Etihad ที่เรียกว่า E-Box มีหนังใหม่ๆ ซีรีส์ต่างๆ เพลง คอนเสิร์ต สกู้ปกีฬาค่อนข้างหลากหลาย แต่ที่บ้าบอที่สุด คือมันสามารถดูทีวีแบบสดได้ (Live TV) ผ่านสัญญาณดาวเทียม โดยไฟลต์ช่วงนี้ ผมได้ดูฟุตบอลยูโร 2016 แบบสดๆ บนเครื่องบินผ่านช่อง Sport 24 เลยด้วย หรือช่วงที่ไม่มีฟุตบอล ก็มีข่าวให้รับชมจากทั่วโลก ผ่านช่อง BBC News, CNN international, NHK, ฯลฯ กราบครับ
รีโมตควบคุมหน้าจอความบันเทิงเป็นรีโมตพร้อมหน้าจอแบบทัชสกรีนสามารถเลือกเมนูต่างๆผ่านเคอร์เซอร์บนจอใหญ่หรือจะใช้นิ้วแตะจากจอเล็กบนรีโมตก็ได้
นั่งดูฟีเจอร์ใน Apartment ยังไม่ทันหมด พนักงานต้อนรับที่ดูแลประจำ Apartment เดินกลับมาพูดคุยและแนะนำอีกครั้ง พร้อมนำ Welcome Drink มาเสิร์ฟให้แบบอลังการครับ เป็นแชมเปญ Bollinger la Grande Annee ปี 2005 กับถั่วนานาชนิด โอลีฟ ผ้าร้อน และข้อความต้อนรับจากผู้จัดการเที่ยวบินสู่ที่นั่ง First Class
ป.ล. ช่วงที่ผมเดินทางไฟลต์นี้ เป็นช่วงเดือนรอมฎอน พนักงานต้อนรับจึงแจ้งว่าไม่สามารถนำขวดแชมเปญมารินให้ถึงที่ได้ รวมถึงไม่สามารถนำแชมเปญมาให้ทั้งขวดได้ เพราะอาจมีผู้ถือศีลอดเดินทางอยู่ร่วมกัน จึงเป็นการเสิร์ฟแบบมาทีละแก้วแบบนี้ (ไม่งั้นจะยิ่งอลังการเลยครับ)
อีกด้านนึงของ Apartment เป็นตู้ที่สามารถเปิดออกมาเป็นมุมแต่งหน้าครับ มีกระจกพร้อมไฟส่องสว่าง ที่วางอุปกรณ์อำนวยความสะดวก หรือชุด amenity kit เอาไว้ให้ แม้ว่า Etihad จะไม่ได้ใช้ชุดกระเป๋า Rimowa ยอดนิยมที่หลายสายการบินใช้ แต่อุปกรณ์ที่ให้มาก็จัดเต็มมากๆ ชุดบำรุงผิวของ Bergamote, ชุดแปรงสีฟัน, เครื่องหอมช่วยให้หลับสบาย, ผ้าปิดตา, ชุดนอน และกระเป๋าผ้าพื้นเมืองของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ที่สั่งทำมาสำหรับชุดกระเป๋า First Class ของ Etihad โดยเฉพาะ
ด้านล่าง มีตู้ที่สามารถเปิดได้อีกครับ เป็นตู้เย็นส่วนตัวขนาดเล็กๆ ข้างในมีน้ำอัดลมกระป๋อง และน้ำเปล่าแช่ไว้ให้หยิบได้ทุกเมื่อ หรือถ้าอยากได้อะไรอย่างอื่นมาแช่ ก็แจ้งพนักงานต้อนรับได้ครับ (จริงๆ อยากได้เครื่องดื่มอะไร ก็เรียกขอได้ตลอดอย่างรวดเร็วอยู่แล้ว ตู้เย็นอันนี้ไม่ค่อยได้ใช้ประโยชน์เท่าไหร่หรอกครับ มีไว้เท่ๆ นิดนึง)
ยังสำรวจไม่ทันเสร็จ พนักงานอีกคนก็แวะมาครับ คราวนี้เป็นพ่อครัว หรือ personal chef ที่คอยดูแลเรื่องอาหารการกินในชั้น First Class โดยเฉพาะ แต่งตัวชุดพ่อครัวเข้ามาเลย (ลืมถ่ายรูปมาให้ดู) แวะเอาเมนูอาหารและเครื่องดื่มบนเที่ยวบินนี้มาให้ พร้อมแนะนำเมนูพิเศษประจำวันครับ โดยอาหารของ First Apartment อันนี้ ก็จะมีทั้งแบบเลือกสั่งตามคอร์สที่จัดมาให้ (เยอะมากครับ เมนคอร์สมีตัวเลือก 5 อย่าง ไม่นับรวม Appetizer และของหวานอีก 4-5 อย่าง) หรือจะเลือกแบบ Lounge and Grill ที่สามารถเลือกสั่งได้ตามใจ ให้มาเสิร์ฟช่วงไหนก็ได้ของไฟลต์ สั่งได้ส่วนตัวจาก chef เลยครับ ทั้งหมดจะถูกปรุงบนเครื่องบินทั้งหมด สามารถสั่งอาหารให้ advance ได้พอสมควร เช่นสเต๊กจะให้สุกประมาณไหน ไข่ดาวให้สุกแค่ไหน หรือ เมนูไหนให้ปรุงอะไรเพิ่ม ก็จัดเต็มได้เลย
Shower Room on Board!
ถ้าทั้งหมดนี้ยังเว่อวังไม่พอ ก็ขอให้ลุกมาดูห้องน้ำต่อครับ … นี่คือห้องน้ำที่มี “ห้องอาบน้ำ” ในตัว สามารถ shower ได้บนเครื่องบินเลยครับ โดยห้องน้ำจะอยู่ส่วนหน้าสุดของเครื่องบิน มีทั้งหมดสองห้อง แต่จะมีห้องเดียวที่มีห้องอาบน้ำครับ ภายในห้องน้ำ แม้ว่าไม่ได้มีขนาดใหญ่มาก แต่ก็มีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบถ้วน
การอาบน้ำบนเครื่องบิน ต้องขอใช้คิวอาบน้ำจากพนักงานต้อนรับก่อนครับ เพื่อควบคุมปริมาณน้ำ และคุมคิวกับผู้โดยสาร Apartment ห้องอื่นๆ ซึ่งการอาบแต่ละครั้ง จะถูกกำหนดเวลาให้ใช้น้ำได้ต่อเนื่องไม่เกิน 10 นาที (เครื่องบินมีข้อจำกัดในการบรรจุน้ำสะอาดขึ้นมา จึงต้องคุมให้ผู้โดยสาร Apartment คนอื่นได้ใช้อย่างเพียงพอด้วย) ซึ่งมีเคาน์เตอร์เวลาบอกอยู่ที่เปิดน้ำ และแน่นอนครับ เลือกปรับอุณหภูมิน้ำได้ด้วย
ตัวฝักบัว ถูกฝังอยู่บนเพดาน ปล่อยลงมาในทิศทางเดียว ด้วยความแรงโอเคเลยครับ เที่ยวบินไกลๆ ก็แนะนำให้จัดคิวอาบน้ำประมาณ 2 ชั่วโมงก่อนลงจากเครื่อง สบายสุดๆ และเป็นประสบการณ์การอาบน้ำบนเครื่องบินที่หาได้ยาก (ปัจจุบันมีเพียง Etihad Apartment และ Emirates First Class บน Airbus A380 เท่านั้นที่มีห้องอาบน้ำบนเครื่องบิน)
ในส่วนของห้องน้ำ ก็กว้างขวางและอลังการกว่าห้องน้ำเครื่องบินทั่วไปพอสมควรเลยครับ และในโซนของ First Apartment นี้มีห้องน้ำให้ใช้ถึง 2 ห้อง ต่อผู้โดยสารสูงสุดเพียง 9 คน เรียกว่าเหลือเฟือตลอดการเดินทางแน่นอนแบบไม่ต้องรอคิวต่อจากใคร
เครื่องบินเทคออฟขึ้นไปได้ไม่นานนัก เมนูแรกก็พร้อมเสิร์ฟครับ พนักงานมากางโต๊ะ และจัดโต๊ะอาหารให้แบบอลังการสุดๆ
จานเรียกน้ำย่อยมาเสิร์ฟก่อนเลยครับ ค่อยๆ ละเมียดละไม มาเสิร์ฟทีละเล็กละน้อยอย่างต่อเนื่อง ตามด้วยซุปผักโขม (ไม่ค่อยอร่อยนัก) พร้อมขนมปังนานาชนิด บวกกับแชมเปญที่เสิร์ฟแบบไม่อั้นตลอดเวลา
แซลมอนรมควัน เสิร์ฟมาพร้อมกับเมลอน จานนี้ดูสวยงาม แต่รสชาติออกหวานมากไปหน่อยครับ
เมนคอร์ส ซึ่งผมสั่งเป็นเมนูพิเศษ หรือ chef special ประจำเที่ยวบินวันนี้ เป็นเมนูปลากระพง ที่ย่างมาสุกแบบพอดิบพอดี เสิร์ฟพร้อมมะนาว และมันเทศสีม่วง สด ถือว่าสอบผ่านครับจานนี้
ปิดท้ายด้วยของหวาน พุดดิ้งราสเบอรี่ เสิร์ฟพร้อมไอศกรีม ทุกจานถูกจัดมาอย่างสวยงาม พรีเซนต์ดีเยี่ยม
หลังทานอาหารเสร็จ พนักงานต้อนรับก็เข้ามาสอบถามว่าจะนอนพักผ่อนหรือไม่ จากนั้นก็จะทำการปูเตียงให้ครับ ผมอาศัยจังหวะนี้ออกไปเข้าห้องน้ำ แปรงฟัน และเปลี่ยนเป็นชุดนอนที่ทาง Etihad เตรียมไว้ให้
เดินกลับมาที่นั่งอีกครั้ง ถึงตรงนี้เริ่มรู้สึกว่าไม่ได้อยู่บนเครื่องบินแล้วครับอารมณ์เหมือนอยู่โรงแรมมากกว่า เตียงถูกจัดไว้เรียบร้อย (โซฟาสามารถกดเลื่อนลงมาเป็นเตียงนอนราบ ถูกปูทับด้วยเบาะรองที่นอน, ผ้าปูที่นอน, และผ้าห่มสองชั้น) และประตู Apartment ก็สามารถเลื่อนมาปิดไว้เพื่อความเป็นส่วนตัวได้ด้วย
เมื่ออยู่ในที่นอนแล้ว ก็จะเห็นว่าข้างเตียง มีรีโมตคอนโทรลให้อีกอันนะครับ เพื่อใช้ควบคุมหน้าจอได้โดยไม่ต้องลุกไปใช้รีโมตอันเดียวกับที่อยู่ตรงที่นั่ง
นอกจากนี้ ยังมีปุ่มสำหรับเปิดปิดไฟ ปิดม่านหน้าต่าง ฯลฯ จากตำแหน่งที่นอนอยู่ได้เลย เรียกว่าออกแบบมาแบบเตรียมพร้อมใช้งานได้อย่างสะดวก ทั้งจากที่นั่ง และที่นอนเลยทีเดียว
ทีวี สามารถกดเปิดบานพับ เพื่อให้หันมาทางหัวเตียงได้ นอนดูหนังได้อย่างสบายใจครับ พอง่วงก็กดปิดจอจากรีโมตเพื่อหลับได้เลย… ทั้งที่นอนและหมอนที่ให้มาเนี่ย นอนโคตรสบายเลยครับ ชนิดที่ลืมไปเลยว่าอยู่บนเครื่องบิน (แต่ห้ามหารราคาค่าตั๋วลงมาเป็นชั่วโมงเชียว นอนไม่หลับแน่ๆ ครับ)
ประมาณหนึ่งชั่วโมงเศษๆ ก่อนเครื่องลงจอด พนักงานต้อนรับจะเคาะประตู Apartment และขออนุญาตเข้ามาปลุก เพื่อเตรียมเสิร์ฟมื้อก่อนลงจอด รวมถึงถ้าเราได้จองเวลาใช้ห้องอาบน้ำไว้ พนักงานก็จะมาเรียกในเวลานี้เช่นกัน
ในช่วงนี้พนักงานจะเข้ามาเก็บเตียง และเสิร์ฟอาหารมื้อเช้าก่อนลงจอดครับ เริ่มจาก smoothie เพื่อความสดชื่น
มื้อเช้าผมเลือกรับเป็น steak sandwich ครับ เนื้อนุ่มและขนมปังที่ให้มาก็ดีมากๆ ตอนแรกเชฟมาเสนอให้เลือกเป็นชุดอาหารเช้า แฮม ไข่ดาว ที่สามารถเลือกความสุกหรือเลือกประเภทของไข่ได้ (เพื่อโชว์ความเหนือ ว่าปรุงสดบนเครื่องบินนะ) แต่ผมเริ่มรู้สึกเอียนๆ กับมื้อเช้าแบบนั้น เลยเลือกเป็นแซนวิชดีกว่า
Sorry, no free Wi-Fi on board
ลืมเล่าไปว่า สิ่งที่น่าเสียดายที่สุดของ Etihad First Apartment ก็คือ ไม่มีบริการ WiFi ฟรีให้ได้ใช้งาน ทั้งๆ ที่ค่าบริการที่เก็บเพิ่มนั้น ต่อให้คอนเนคทั้งไฟลต์ก็อยู่ที่ราคาไม่กี่ร้อยบาทเองครับ การที่ไม่รวมมาให้ ถือว่าไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย
ก่อนเครื่องลงจอดที่ London Heathrow พนักงานจะนำบัตร Fast Track เพื่อลัดคิว ตม. ที่สนามบิน Heathrow มาให้พร้อมกับแบบฟอร์ม Landing Card ครับ ซึ่งบัตร Fast Track นี่มีประโยชน์มาก เพราะหากใครเคยเดินทางมา Heathrow จะรู้ว่าคิว ตม. ที่นี่ยาวมาก และรอนานมาก
แม้จะลงจากเครื่องมาแล้ว แต่ความสุดของ First Apartment ยังไม่จบลงครับ เพราะที่สายพานรับกระเป๋า ก็จะมีเจ้าหน้าที่รอแยกกระเป๋าของผู้โดยสาร First ลงมาจากสายพานให้ด้วย และนำกระเป๋ามาวางรอไว้ในช่องนี้ เดินมาถึงสายพานก็ลากกระเป๋าของเราไปได้เลย สะดวกสบายครับ
และบริการ Etihad Chauffeur ก็ไม่ได้มีแค่ที่สนามบินต้นทางนะครับ มาถึง London Heathrow แล้ว มองหาป้าย Etihad Chauffeur และขึ้นรถลีมูซีนที่ได้ทำการจองไว้ รถก็จะพาไปส่งถึงโรงแรมที่พักเลย
รถที่รับจากสนามบิน London Heathrow ไปส่งที่โรงแรมรอบนี้ เป็น Mercedes-Benz E-Class โฉมใหม่ล่าสุดเลยครับ บริการดีเยี่ยม และขับไปส่งถึงโรงแรมกลางกรุงลอนดอนได้ในระยะเวลาเพียง 35 นาทีเท่านั้น ทั้งหมดนี้ไม่ต้องจ่ายเพิ่มครับ (รวมในค่าตั๋วไปหมดแล้ว)
ขาไปราบรื่น สะดวกสบายแบบนี้ มาดูขากลับกันต่อนะครับ
Flight: EY18
Route: LHR-AUH
Date: 25 Jun 2016
Departure Time: 20:45
Arrival Time: 7:05
Duration: 6 hr 45 mins
Seat: 2C
Class: First Apartment
Aircraft: Airbus A380-800
Registration: A6-APC
เที่ยวบินขากลับนี้ เริ่มจากบริการ Etihad Chauffeur เช่นเดิมครับ รถยนต์ Mercedes-Benz E-Class มารอรับที่หน้าโรงแรมตามเวลานัดที่ได้ทำการจองไว้ล่วงหน้า คนขับมาถึงก่อนเวลาครึ่งชั่วโมงเลย
เดินทางมาถึงสนามบิน London Heathrow อย่างราบรื่น พอรถจอดที่หน้าเทอร์มินัลแล้ว ก็มีพนักงานต้อนรับของ Etihad มารอเปิดประตูรถ และเข็นกระเป๋าเข้าไปยังเคาน์เตอร์เช็กอินทันที (รู้สึก VIP มาก)
เคาน์เตอร์เช็กอิน Etihad First Class เปิดเอาไว้ 1 ช่องครับ แต่ไม่ค่อยมีคนอยู่แล้ว เพราะไฟลต์จากลอนดอนในช่วงเวลานี้ ก็มีเพียงไฟลต์เดียวเท่านั้น
Etihad First & Business Class Lounge, London Heathrow Airport
หลังจากเช็กอินแล้ว ผมก็พุ่งตรงไปพักผ่อนที่เลานจ์ของ Etihad ครับ โดยเลานจ์ที่สนามบิน London Heathrow นี้ ไม่ได้แยก First Class ออกมาต่างหากนะครับ เป็นเลานจ์รวมๆ ของ Business Class และ First Class
ไลน์อาหารที่นี่มีทั้งแบบ buffet และเมนูให้เลือกสั่งแบบปรุงสดได้ครับ รสชาติโอเค พอรับได้
แต่ความเจ๋งของเลานจ์ Etihad ที่สนามบิน London Heathrow นี้ ก็คือมันมีส่วนของสปา Six Senses เหมือนกับที่เลานจ์ของ Abu Dhabi ด้วย ซึ่งมีเมนูให้บริการเหมือนกันเลย และก็ complimentary ฟรีให้กับผู้โดยสาร First Class ด้วยครับ (ส่วนผู้โดยสาร Business Class ต้องเสียเงิน)
ระหว่างรอขึ้นเครื่อง หลังจากทานอะไรรองท้องแล้ว ก็จัดนวดหลังไป 1 เมนูครับ ใช้เวลาประมาณ 15 นาที
Boarding
เมื่อถึงเวลาเรียกขึ้นเครื่อง (เลานจ์อยู่ตรงข้ามกับเกตขึ้นเครื่องเลย สะดวกมาก) ก็มีคิวแยกต่าวงหากสำหรับผู้โดยสาร Business / First Class ขึ้นเครื่องได้ตามอัธยาศัย ไม่ต้องต่อคิวนาน
First Apartment, LHR-AUH
ขากลับนี้ ผมได้ที่นั่งเป็น Apartment 2C ครับ ซึ่งจัดที่นั่งสลับฝั่งกับตอนขามา แต่ฟีเจอร์โดยรวมๆ ของ Apartment ยังคงเหมือนกันทั้งหมด
จังหวะพอดีที่ขึ้นเครื่องขากลับนี้ ตรงกับช่วงที่มีการเตะฟุตบอลยูโร 2016 รอบ Knockout พอดีครับ เลยถือโอกาสได้ใช้ Live TV ดูฟุตบอลสดๆ บนเครื่องซะเลย (รับสัญญาณผ่านระบบดาวเทียมของเครื่องบิน)
ความอลังการเรื่องการต้อนรับด้วย welcome drink ยังคงอยู่เหมือนเดิมครับ แชมเปญ Bollinger ผ้าร้อน และ อินทผลัม จัดใส่ถาดมาอย่างสวยงาม
ที่นั่งใหญ่มากครับ และท่านั่งตอนยังไม่ได้ปรับเอนก็อยู่ในท่าที่สบายแล้ว ลืมบอกไปว่า โซน First Apartment ของ Etihad นี้ ไม่มีช่องเก็บกระเป๋าเหนือศีรษะนะครับ เพื่อความโปร่งของ Apartment แต่ละห้อง ที่ให้ยืนและเดินกันได้สะดวก แต่จะมีช่องเก็บกระเป๋าอยู่ใต้เตียงแทน ส่วนกระเป๋าใบใหญ่กว่านั้น ต้องฝากพนักงานต้อนรับไปเก็บอีกที่นึงครับ
มาดูอาหารบนไฟลต์ขากลับกันบ้างครับ เริ่มจาก appetizer พร้อมการปูโต๊ะแบบอลังการเช่นเดิม
อาหารเรียกน้ำย่อยจานที่สอง เนื้อกุ้งล็อบสเตอร์ พร้อมสลัด แครอท บีทรูต จานนี้กลมกล่อมมากๆ ครับ
เมนคอร์สรอบนี้ ผมรับเป็นสเต๊กเนื้อ เลือกความสุกระดับ medium เสิร์ฟมาแบบร้อนๆ พอดิบพอดี
ปิดท้ายด้วยขนมหวาน เมนู textures ที่ประกอบไปด้วยของหวานที่มีผิวสัมผัสแตกต่างกัน มีทั้งความกรุบกรอบ นุ่ม เหนียว หยาบและละเอียดปนกันอยู่ในจานเดียวกัน พอทานด้วยกันแล้วให้รสสัมผัสที่แปลกดีครับ อร่อยนะ ใช้ได้เลย
มาถึงส่วนที่พีคที่สุดของไฟลต์ครับ นั่นคือการปูเตียงในท่าพร้อมนอน ที่พนักงานต้อนรับเข้ามาจัดการให้อย่างรวดเร็วและสวยงาม และปิดประตูห้อง Apartment ให้ เพื่อบ่งบอกถึงความเป็นส่วนตัว และจะไม่เข้ามาปลุกหรือรบกวนเลยหากยังไม่ถึงเวลาที่เครื่องบินจะลดระดับ หรือหากเราไม่ได้เปิดประตูออกไปเองครับ
เนื่องจากไฟลต์นี้ออกจากลอนดอนเวลา 20:45 น. กว่าจะเสิร์ฟมื้อแรกเรียบร้อย ก็ได้เวลาง่วงพอดี ผมหลับพักผ่อนยาวเกือบทั้งไฟลต์เลยครับ จนต้องลุกขึ้นมาตอนที่กัปตันประกาศลดระดับลงจอดที่สนามบินอาบูดาบี รอเปลี่ยนเครื่องอีกครั้งเพื่อกลับมายังกรุงเทพมหานคร
First Suites on Boeing 777-300ER (Jet Airways aircraft, operated by Etihad)
อย่างที่บอกไปครับ ว่า First Apartment นั้น จะอยู่บนเครื่องบินแบบ Airbus A380-800 ของ Etihad เท่านั้น และไม่ได้ใช้เครื่องนี้ในการบินช่วงกรุงเทพ-อาบูดาบี แต่จะใช้เครื่องบินแบบ Boeing 777-300ER ซึ่งโดยปกติเครื่องบินของ Etihad เอง จะไม่มีชั้นโดยสาร First Class ในเส้นทางกรุงเทพ-อาบูดาบี ยกเว้นบางไฟลต์ที่ใช้เครื่องบินของ Jet Airways เท่านั้น (แต่ทำการบินทั้งหมดด้วยบริการของ Etihad) จึงจะมีชั้นโดยสาร First Class ที่ผมขอแถมให้ดูเล็กน้อยตามนี้ครับ
ที่นั่ง First Suites ของ Etihad บนเครื่องบินของ Jet Airways จะเป็นที่นั่งตัวใหญ่ ที่สามารถปรับเอนราบได้ และมีประตูกั้นเป็นห้องส่วนตัว โดยที่การบริการ และอาหารทั้งหมด ยังเป็นมาตรฐานของสายการบิน Etihad อยู่เช่นเดิม
Etihad Chauffeur
อีกครั้งครับ หลังจากกลับมาถึงสนามบินสุวรรณภูมิ ก็ยังคงใช้บริการคนขับรถส่วนตัว หรือ Etihad Chauffeur ได้อีกครั้ง จากสนามบินสุวรรณภูมิ ไปส่งถึงหน้าบ้าน โดยรอบนี้เป็น Mercedes-Benz E-Class โฉมใหม่กว่าขาไปเล็กน้อย แต่ยังไม่ใช่โฉมใหม่ล่าสุดแบบที่ลอนดอน เป็นอันเสร็จสิ้นการเดินทางแบบหรูหราสไตล์สายการบินตะวันออกกลาง
Wrap Up
ต้องบอกว่าตะวันออกกลางจัดเต็มมากๆ ครับกับ First Class ของเขาครับ และ Etihad ก็ได้ยกเอาชั้นโดยสาร First Apartment มาเป็นจุดเด่นได้อย่างน่าสนใจ แม้ว่าจุดหมายจะยังไม่เยอะมากนัก และ อาจจะสู้ความสะดวกแบบบินตรงไม่ได้ (ผมเทียบแล้ว ถ้ากรุงเทพ-ลอนดอน จะใช้เวลารวมเปลี่ยนเครื่องแล้ว นานกว่าเที่ยวบินตรงอยู่ประมาณ 4-5 ชั่วโมงเลย) แต่ถ้าพูดถึงความหรูหรา นี่ต้องยกให้เขาเลยจริงๆ
ประสบการณ์โดยรวมนี่ให้ความรู้สึกหรูหราแบบไร้ที่ติครับ การบริการนอบน้อม และมีสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครันมาก ฮาร์ดแวร์ที่ใช้ ทั้งที่นั่ง ที่นอน รวมถึงห้องน้ำ ทำได้หรูหราสมราคามาก จะติดอยู่เรื่องเดียวก็คืออาหาร ที่ผมคิดว่ามันไม่พีคอย่างที่คาดไว้ คือก็ทำได้ดีตรงที่มี chef ขึ้นมาจัดแจงให้ มีเมนูให้เลือกเยอะ และจัดสรรตามความต้องการได้ระดับหนึ่ง การจัดวางทำได้สวยงาม แต่รสชาติโดยรวม ไม่ได้ถึงกับทำให้รู้สึกประทับใจครับ
ส่วนตัวคิดว่า จุดหมายอย่างลอนดอน อาจจะสั้นเกินไปหน่อยสำหรับ First Apartment ที่ต้องแวะเปลี่ยนเครื่องที่อาบูดาบีก่อน หากได้เดินทางด้วย First Apartment บนเส้นทางไกลๆ อย่างอาบูดาบี-นิวยอร์ก ที่ใช้เวลาเกิน 10 ชั่วโมง อาจจะได้ความสบายมากกว่า เพราะได้หลับเต็มอิ่ม และได้ลองอาหารหลากหลายอย่างมากขึ้น แต่ราคาก็จะสูงขึ้นตามลำดับไปด้วย
แท้จริงแล้ว Etihad ยังมีชั้นโดยสารที่สูงกว่านี้อีกหนึ่งขั้น คือ The Residence ครับ ซึ่งก็จะอยู่ห้องหน้าสุดของ First Apartment บนเครื่องบินลำเดียวกันนี่แหละ แต่ถูกแบ่งสัดส่วนให้เป็นห้อง Suites จำนวน 3 ห้องอยู่ภายใน รองรับผู้โดยสารได้ 2 คนในห้องนั้น และแยกห้องนอนออกมาเป็นสัดส่วน เพื่อความเป็นส่วนตัวมากขึ้น มีห้องน้ำภายใน Suites และมี personal butler คอยให้บริการ โดยอัพราคาค่าตัวให้แพงกว่า First Apartment ขึ้นไปอีกราวๆ 4 เท่าตัวครับ
สิ่งที่น่าเสียดายที่สุด ของ Etihad ก็คือ ไม่มีบริการ Wi-Fi ฟรีบนเครื่องบิน แม้กระทั่งเดินทางในชั้นโดยสารระดับ First Class ที่ดูจากราคาแล้ว ทาง Etihad สามารถรวมค่าบริการ Wi-Fi เข้าไปได้แบบไม่กระทบกระเทือนเลย ปล่อยให้ผู้โดยสารเปิดมาเจอค่าใช้จ่ายที่ต้องชาร์จเพิ่มเพียงหลักร้อยบาท ค่อนข้างเสียความรู้สึกเหมือนกันนะครับ
โดยรวมแล้ว คิดว่า Etihad ได้สร้างมาตรฐาน First Class ให้หรูหราขึ้นกว่าที่นั่ง First Class ทั่วไปหลายอย่างเหมือนกัน ทั้งการใช้คำว่า Apartment เสมือนห้องส่วนตัวที่ใหญ่ขึ้นกว่า First Class ทุกสายการบิน, การมีห้องอาบน้ำบนเครื่องบิน, มี chef มาทำอาหารให้ตามความต้องการ, มีเลานจ์ที่มีฟีเจอร์แปลกใหม่ อย่างบริการตัดผม หรือ สปา (แม้ว่านวดยังไงก็สู้ Royal Orchid Spa ของการบินไทยไม่ได้ก็เถอะ) ทั้งหมดนี้ในราคาค่าตั๋วที่ไม่ได้กระโดดจาก First Class ของสายการบินอื่นๆ ครับ ขอแนะนำให้เป็นตัวเลือกที่น่าไปโดนสักครั้งสำหรับเที่ยวบินไกลๆ โดยเฉพาะกรุงเทพ-นิวยอร์กนี่จะฟินมากเลยแหละ
พบกันใหม่รีวิวหน้า สวัสดีครับ
- พาชม “ARIA SUITE” — Business Class แบบใหม่ของ Cathay Pacific มีประตูปิดทุกที่นั่ง!
- รีวิว First Class สายการบิน SWISS — ขั้นสุดของสวิส เส้นทาง Zurich-Bangkok
- พาเดินงาน AIX 2024 ✈️ — พรีวิวที่นั่งใหม่ การบินไทย Airbus A320 ก่อนใช้จริงสิ้นปีนี้
- รีวิว การบินไทย Royal First Class ปี 2024 — กรุงเทพ-ลอนดอน Boeing 777-300ER
- รีวิว Qatar Qsuite ปี 2024 — ยังเป็น Business Class ที่ดีที่สุดอยู่มั้ย?
- รีวิว ANA “The Suite” — First Class ใหม่ บน Boeing 777-300ER
- รีวิว Dassault Falcon 6X — พาบินไปสิงคโปร์ด้วย Private Jet ลำตัวกว้างสุดในโลก
- รีวิว EVA Air Business Class — ซีแอตเทิล-ไทเป Boeing 787-10
- รีวิวกระเป๋าเดินทาง Samsonite ใหม่ 3 รุ่น — ทน เท่ เบา ล้อดีจริง ฟังก์ชั่นครบ!
- เจาะลึก ATC — เจ้าหน้าที่ควบคุมจราจรทางอากาศ อาชีพสำคัญในอุตสาหกรรมการบิน
- รีวิว Business Class สายการบิน Swiss — กรุงเทพ-ซูริค Boeing 777-300ER
- พาชม “SAT-1” เทอร์มินัลใหม่ สนามบินสุวรรณภูมิ เปิดแล้ววันนี้
- รีวิว Finnair Business Class ที่นั่งแบบใหม่ ใหญ่สบายมาก แต่ปรับเอนไม่ได้! 🤨
- สุดในรุ่น “ACH130 Aston Martin Edition” — เฮลิคอปเตอร์ Airbus ที่ตกแต่งโดย Aston Martin!
- รีวิว Shark Aero เครื่องบินสปอร์ตสายซิ่ง เร็ว แรง ทำสถิติบินเดี่ยวรอบโลกมาแล้ว
- รีวิว Emirates First Class ปี 2023 — บินสบาย อาบน้ำบนเครื่องบิน หรูสุดแบบไม่เกรงใจใคร
- รีวิว ANA 「THE Room」 Business Class แบบใหม่ล่าสุด กว้างสุด มีประตูทุกที่นั่ง
- รีวิวคู่ พาซู่ชิงขึ้น First Class – สายการบิน Cathay Pacific ไปนิวยอร์ก!
- พาเจาะลึก Airbus A330neo ลำใหม่ล่าสุดของ Thai Lion Air
- รีวิว Qatar Qsuite – Business Class ที่ดีที่สุดในโลกประจำปี 2019
- รีวิว First Class สายการบิน Cathay Pacific นิวยอร์ก-ฮ่องกง ยาวๆ 16 ชั่วโมงรวด
- รีวิว Business Class สายการบิน Cathay Pacific นั่งไกลๆ ปรับปรุงเมนูใหม่ อาหารจัดเต็มสุดๆ
- รีวิว First Class สายการบิน Lufthansa พร้อมรีวิว First Class Terminal สนามบิน Frankfurt
- พาชม เจาะลึก Airbus A330neo รุ่นใหม่ล่าสุด ลำแรกของ Thai AirAsia X
- รีวิว Business Class สายการบิน EVA Air ไทเป-ซานฟรานซิสโก (Boeing 777-300ER)
- รีวิว Business Class สายการบิน Hong Kong Airlines เครื่องบินใหม่ ราคาสุดคุ้ม
- รีวิว Business Class – Cathay Pacific บน Boeing 777-300ER เส้นทาง SFO-HKG
- รีวิว Business Class บน Boeing 787-10 ใหม่ล่าสุด สายการบิน Singapore Airlines
- รีวิว Qatar Qsuite – Business Class ที่เหมือน First Class เป็นห้องส่วนตัว ปิดประตูได้!
- บุกศูนย์ฝึกลูกเรือ Singapore Airlines ชมเบื้องหลังเที่ยวบินที่ไกลที่สุดในโลก!
- รีวิว Royal First Class การบินไทย บน Airbus A380 เส้นทางกรุงเทพ-ลอนดอน
- 6 ความลับของ Economy Class รู้แล้วจะนั่งสบายขึ้นอีกเยอะ!
- รีวิว ‘Throne Seat’ ที่นั่ง Business Class แบบใหม่ล่าสุดของการบินไทย
- รีวิวสุดยอด First Class Suites แบบใหม่ล่าสุด บน Singapore Airlines A380
- รีวิว Business Class สายการบิน Cathay Pacific กรุงเทพฯ – ฮ่องกง
- รีวิว Emirates First Class Suites แบบใหม่ล่าสุด – First Class แรกของโลกที่เป็นห้องปิด 100%
- รีวิว ‘Premium Economy’ การบินไทย ดีงามไม่ต่างจาก Business Class
- รีวิว Premium Flatbed ชั้นธุรกิจ สายการบิน Thai AirAsia X
- รีวิว ห้องอาบน้ำบนเครื่องบิน Emirates First Class – Airbus A380
- รีวิว ANA Premium Economy ชั้นประหยัดพรีเมียม นั่งสบาย ในราคาไม่โหดร้าย
- พาชมโรงงาน Boeing พร้อมพา Boeing 787-9 ลำใหม่ของการบินไทยกลับสุวรรณภูมิ
- รีวิว Emirates First Class Suites ห้องส่วนตัวสุดหรูบนเครื่องบิน
- รีวิว First Class สายการบิน Korean Air แบบใหม่ล่าสุดบน Boeing 777-300ER
- พรีวิว! ที่นั่ง Business Class แบบใหม่ล่าสุดของการบินไทย บน Boeing 787-9
- รีวิว Prestige Suites ที่นั่ง Business Class แบบใหม่บนสายการบิน Korean Air
- การบินไทย มีที่นั่ง Business Class แบบไหนบ้าง? + วิธีจองให้ได้ที่นั่งแบบใหม่
- รีวิว ScootBiz สายการบิน NokScoot เส้นทางดอนเมือง-ไทเป ที่นั่งกว้าง ราคาเบา
- รีวิว First Class แบบใหม่ของ Singapore Airlines – Boeing 777-300ER
- รีวิว “The Private Room” โคตรเลานจ์ของสนามบิน Singapore Changi
- รีวิวไฟลต์สุดน่ารัก เครื่องบิน “Gudetama” ไข่ขี้เกียจ ลำเดียวในโลก
- รีวิว การบินไทย Royal Silk Class บน Airbus A350-900 XWB รุ่นล่าสุด
- รีวิว Etihad ‘Business Studio’ ชั้นธุรกิจที่ไม่มีความทัดเทียม (B77W/A380)
- รีวิว United Polaris Business Class ชั้นธุรกิจรูปแบบใหม่ของ UA
- รีวิว First Class สายการบิน ANA สุดยอดความหรูหราแบบญี่ปุ่น
- รีวิว First Class Suite สายการบิน Asiana หรู เนี๊ยบ สไตล์เกาหลี
- รีวิว Business Class บน A380 สายการบิน Emirates
- รีวิว ชั้น Smile Plus (ชั้นประหยัดพรีเมียม) สายการบินไทยสมายล์
- รีวิว Lufthansa Business Class บน Boeing 747-8I
- รีวิว Etihad First Class “Apartment” ที่สุดของการเดินทางในชั้นเฟิร์สคลาส
- เจาะลึก การบินไทย Boeing 787-8 Dreamliner เครื่องบินที่ไฮเทคที่สุดในฝูงบินปัจจุบัน
- รีวิว Business Class บน Airbus A380 สายการบิน Singapore Airlines
- รีวิว Business Class สายการบิน ANA เส้นทางโตเกียว-ซานฟรานฯ (Boeing 777-300ER)
- รีวิว Royal Silk Class บนการบินไทย Boeing 787 Dreamliner
- รีวิว United Business First Class บน Boeing 787-8 Dreamliner
- รีวิว Business Class สายการบิน ANA เส้นทางกรุงเทพ-โตเกียว (Boeing 777-200ER)
- รีวิว การบินไทย ชั้นธุรกิจ Royal Silk Class ใหม่ การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของการบินไทย
- รีวิว Business Class สายการบิน Austrian เส้นทางกรุงเทพ-เวียนนา
- รีวิว การบินไทย Royal First Class เส้นทางกรุงเทพ-แฟรงก์เฟิร์ต
- รีวิว Royal Laurel Class สายการบิน EVA Air เส้นทางไทเป-ซานฟรานซิสโก
- รีวิว เครื่องบินที่มุ้งมิ้งกระดิ่งแมวที่สุดในโลก Hello Kitty Jet
- รีวิว Royal First Class บนการบินไทย Airbus A380 เส้นทางกรุงเทพ-โตเกียว