รีวิววันนี้ เป็นรีวิวชั้นโดยสารที่ดีที่สุดของสายการบิน EVA Air ในชื่อ Royal Laurel Class ครับ ซึ่งสายการบิน EVA Air ใช้คลาสนี้บนเครื่องบินแบบ Boeing 777-300ER ทำการบินในเส้นทางระหว่างทวีปเป็นหลัก ถือเป็นชั้นโดยสารสูงสุดของ EVA Air ในปัจจุบัน
Disclosure: บทความนี้ เขียนจากประสบการณ์ตรงของผู้เขียน และไม่ได้รับการสนับสนุนใดๆ จากสายการบินหรือตัวแทนที่เกี่ยวข้อง
สายการบิน EVA Air เป็นสายการบินเอกชนของไต้หวัน ที่ถือว่าประสบความสำเร็จมากที่สุดรายหนึ่งในภูมิภาคเอเชียในการสร้างศูนย์กลางการบินต่อไปยังทวีปอเมริกาเหนือ โดยผ่านกรุงไทเป เป็นจุดเชื่อมการต่อเครื่องด้วยทราฟฟิกมหาศาล และยังขยายเส้นทางใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบัน EVA Air ทำการบินไปยังทวีปอเมริกาเหนือมากถึง 7 เมือง คือ San Francisco, Los Angeles, Houston, New York, Seattle, Toronto และ Vancouver ทำให้ EVA Air เป็นหนึ่งในตัวเลือกสำคัญของคนเอเชียที่จะเดินทางไปอเมริกา และ EVA Air ยังเข้ามาทำตลาดในไทยอย่างจริงจัง โดยมีเส้นทางบินตรงจากสนามบินสุวรรณภูมิไปยัง 3 เมืองสำคัญในยุโรป คือ Amsterdam, London และ Vienna ด้วย
ความโดดเด่นของ EVA Air คือเป็นสายการบินที่มีความเป็นเอเชียสูง ให้บริการด้วยลูกเรือหญิงชาวเอเชียทั้งหมด (ไม่มีสจ๊วต) ให้บริการด้วยความนอบน้อม และมักมีตัวเลือกของอาหารแบบจีนๆ (หรือญี่ปุ่นในบางเส้นทาง) ที่ถูกปากคนเอเชียด้วยกันอยู่เสมอ ประกอบกับ EVA Air เป็นหนึ่งในสมาชิกพันธมิตร Star Alliance (เพิ่งเข้าร่วมเมื่อ มิ.ย. 2013) และมีราคาค่าตั๋วโดยสารที่อยู่ในระดับแข่งขันได้ ทำให้ EVA Air ครองใจนักเดินทางชาวเอเชียที่ต้องเดินทางไปแถบทวีปอเมริกาเหนือได้ไม่ยากเลย
EVA Air เป็นสายการบินที่ไม่มี First Class ครับ แต่มีชั้น Business Class อยู่ 3 แบบด้วยกัน คือ “Business Class” เป็นชั้นธุรกิจแบบเก้าอี้ใหญ่ปรับเอนธรรมดา ใช้ใน Airbus A321-200 และ Boeing 747-400 Combi บินในเส้นทางภายในประเทศ และภายในทวีปที่มีระยะทางไม่ไกลมากนัก “Premium Laurel Class” เป็นชั้นธุรกิจแบบดีขึ้นมา แต่ก็ยังเป็นที่นั่งปรับเอนแบบ Recliner ที่ไม่สามารถปรับนอนราบได้ ใช้ใน Airbus A330-200, A330-300 และ Boeing 747-400 ใช้ในเส้นทางระหว่างประเทศ และ ระหว่างทวีปบางเส้นทาง ส่วนชั้นโดยสาร “Royal Laurel Class” เป็นชั้นธุรกิจที่ดีที่สุดของ EVA Air ปัจจุบัน ปรับเอนนอนราบได้ 180 องศา มีแผงกั้นเพื่อความเป็นส่วนตัว และมี amenity ต่างๆ ระดับพรีเมียมแบบครบครัน ใช้ในเครื่องบินแบบ Boeing 777-300ER ทำการบินในเส้นทางระหว่างทวีปเป็นหลัก ที่ผมจะทำการรีวิวให้ชมวันนี้
นอกจากนี้ EVA Air ยังมีเครื่องบินแบบพิเศษ ที่ทำร่วมกับ Sanrio ในชื่อ Hello Kitty Jet ตกแต่งด้วยลายคิตตี้ทั้งลำ ซึ่งผมเคยพาไปขึ้นเครื่องมาแล้ว ใครพลาดรีวิวนั้นไป ก็กดไปอ่านกันได้ที่นี่ครับ >> รีวิว เครื่องบินที่มุ้งมิ้งกระดิ่งแมวที่สุดในโลก Hello Kitty Jet
ส่วนรีวิววันนี้ ผมจะพาไปขึ้นเครื่อง Boeing 777-300ER บนเส้นทางไทเป (TPE) – ซานฟรานซิสโก (SFO) ในชั้นโดยสาร Royal Laurel Class ครับ
Flight: BR18
Route: TPE-SFO
Date: 26 May 2015
Departure Time: 19:50
Arrival Time: 16:10
Duration: 11 hr 20 mins
Seat: 9K
Class: Royal Laurel Class
Aircraft: Boeing 777-300ER
Registration: B-16713
EVA Air The Infinity Lounge, Taiwan Taoyuan International Airport
ก่อนที่จะออกเดินทางทริปไกลๆ แบบนี้ ต้องแวะพักผ่อนที่ Lounge กันก่อนครับ โดย Lounge ของสายการ EVA Air ที่สนามบินเจ้าถิ่นอย่าง Taiwan Taoyuan International Airport (TPE) ก็มีมากถึง 4 เลานจ์ ตกแต่งในธีมที่แตกต่างกันออกไป และได้มีการแบ่งประเภทผู้โดยสารที่สามารถใช้เลานจ์ที่แตกต่างกันได้ และวันนี้ผมได้เข้าใช้บริการที่ The Infinity Lounge บริเวณชั้น 4 ของโถงผู้โดยสารขาออก ซึ่งเป็นเลานจ์สำหรับผู้โดยสารชั้น Business Class (รวมถึง Royal Laurel Class ที่เราเดินทางกันในวันนี้) และ First Class ของสายการบินในกลุ่ม Star Alliance เท่านั้น ส่วนผู้โดยสารบัตรทอง Star Alliance จะต้องไปใช้เลานจ์ติดกันที่ชื่อ The Star Lounge แทนครับ ไม่สามารถเข้ามาใช้ที่ The Infinity ได้
ทางเข้าของ The Infinity Lounge เป็นทางเข้าร่วมกับ The Star Lounge โดยแบ่งเป็นซีกซ้ายและซีกขวา เมื่อเข้ามาจะเจอเคาน์เตอร์พร้อมเจ้าหน้าที่ขาวหมวยของ EVA Air เป็นคนต้อนรับ และบอกว่าเราสามารถใช้บริการเลานจ์ไหนได้บ้าง
ที่นั่งใน The Infinity Lounge ถูกแบ่งเป็นหลายโซนครับ มีมุมที่เหมาะกับทั้งแบบนั่งหลายคน, นั่งเป็นคู่ และ นั่งคนเดียว มีโต๊ะทั้งแบบนั่งทานอาหาร และ แบบนั่งทำงาน พื้นที่โดยรวมค่อนข้างใหญ่โต และจัดที่นั่งห่างกันพอสมควร ไม่แออัด
จุดเด่นของเลานจ์ EVA Air แทบทุกแห่ง คือเรื่องของอาหารครับ จัดเต็มด้วยอาหารทั้งสไตล์ตะวันตก และ สไตล์เอเชียแบบจีนๆ เช่นเดียวกับที่นี่ ซึ่งถือเป็นเลานจ์ในสนามบินเจ้าถิ่น ต้องจัดให้แบบสุดๆ กันไปเลย
อาหารร้อน แบบกินเอาอิ่ม มีให้เลือกหลายเมนูมากๆ ทุกแบบทุกสไตล์ และมีเจ้าหน้าที่คอยมาเติมให้ตลอด ที่สำคัญคือรสชาติถูกปากคนเอเชียแทบทุกอย่าง ผมลองตักมาชิมอย่างละนิดละหน่อย สอบผ่านทุกอันเลย
แต่ที่น่าจะโดนใจและโดดเด่นกว่าเลานจ์อื่นๆ คือเรื่องของอาหารสไตล์จีนๆ ครับ ที่มีพวกติ่มซำ โอเด้ง ข้าวต้ม โจ๊ก มันเผาด้วย นับเป็นเลานจ์ที่เน้นของกินมากๆ และน่าจะถูกใจหลายๆ คน
ไอศกรีมที่นี่ใช้ของ Mövenpick มีให้เลือกหลายรส แบบบริการตัวเองตามใจชอบ
โซนเครื่องดื่มก็จัดเต็มเหมือนกัน ทั้งตู้แช่น้ำอัดลม น้ำผลไม้หลายแบบ ตู้กดกาแฟ ตู้กดเบียร์สด และบาร์เหล้านานาชนิด นอกจากนี้ ในเลานจ์ก็มีบริการพื้นฐานครบถ้วนครับ ทั้ง Wi-Fi ความเร็วสูง ที่แยกต่างหากจาก Wi-Fi ของสนามบินไทเป, มีห้องอาบน้ำ 4 ห้อง ที่ตกแต่งเป็นธีมแตกต่างกัน แต่เสียดายที่รอบนี้ผมไม่ได้ใช้บริการ (เดี๋ยวรีวิวตอนเที่ยวบินขากลับครับ), ล็อกเกอร์เก็บของ ที่โดยรวมถือว่าเป็นเลานจ์ Business/First Class ที่อยู่ในมาตรฐานที่ดีเลานจ์นึงของโลกเลย
จริงๆ เลานจ์ The Infinity แห่งนี้ ไม่ใช่เลานจ์ที่ดีที่สุดในสนามบิน TPE แห่งนี้ด้วยนะครับ เพราะ EVA Air ยังมีเลานจ์ที่ชื่อ The Garden สำหรับรองรับผู้โดยสารสมาชิก EVA Air Infinity MileageLands ระดับ Diamond หรือผู้ถือบัตร American Express Centurion (บัตรดำ) โดยเฉพาะอีกหนึ่งแห่ง โดยไม่เปิดให้ผู้โดยสารสมาชิกบัตรทอง Star Alliance ของสายการบินอื่นๆ เข้าใช้บริการ
On Board
EVA Air ใช้ระบบการเรียกผู้โดยสารขึ้นเครื่องตาม Zone ครับ ซึ่งหมายเลขโซนจะระบุชัดเจนบน boarding pass เป็นตัวเลขใหญ่ๆ โดย Zone 1 จะเป็นผู้โดยสารในชั้น Royal Laurel Class และผู้โดยสารที่เป็นสมาชิกบัตรทอง Star Alliance ก่อน และเรียงลำดับไป Zone 2 (Elite, Premium Economy Class), Zone 3, 4 … เรียงกันไป
เที่ยวบินของ EVA Air บนเส้นทางระหว่างทวีป โดยเฉพาะเส้นทางของทวีปอเมริกาเหนือแบบนี้ จะใช้เครื่องบินแบบ Boeing 777-300ER แบบเดียวเลย และที่นั่งของ Royal Laurel Class ถูกจัดแบบ 1-2-1 มีทั้งหมด ลักษณะที่นั่ง flatbed ถูกเรียงแบบทะแยงออกจากกัน ทุกที่นั่งติดกับทางเดิน สะดวกและเป็นส่วนตัวอย่างมาก
ขึ้นเครื่องมา พนักงานต้อนรับ (ขาว หมวย) ของ EVA Air ก็มาเชิญไปที่นั่งด้วยความสุภาพครับ พร้อมแนะนำตัวเล็กน้อย ก่อนที่จะเอาผ้าเย็นและเครื่องดื่มมาให้แทบจะทันทีที่ได้ที่นั่ง ให้เราได้นั่งพักระหว่างที่รอผู้โดยสาร boarding ครบทั้งลำ
ระหว่างนี้ มาสำรวจที่นั่งกันก่อนครับ ว่า config ที่นั่งแปลกๆ เป็นแนวเฉียงๆ ทะแยงแบบนี้ มีอะไรให้เราเล่นบ้าง
Seat Features / Amenities
เที่ยวบิน TPE-SFO ขาไปนี้ ผมได้ที่นั่ง 9K ครับ ซึ่งเป็นที่นั่งริมหน้าต่าง มีการวางที่นั่งทะแยงออกไปทางหน้าต่างของเครื่องแบบเฉียงๆ บริเวณขอบที่นั่งข้างศีรษะ มีแผงมากั้นอ้อมไว้เพื่อความเป็นส่วนตัว เมื่อนั่งแล้วจะให้ความรู้สึกเหมือนนั่งอยู่คนเดียว และจะไม่ถูกมองจากผู้โดยสารคนอื่นๆ เพราะที่นั่งแถวกลาง ถูกจัดให้หันหน้าเข้าหาตัวเครื่อง จึงขอแนะนำว่า ถ้าเดินทางคนเดียวบน Royal Laurel Class ให้เลือกที่นั่งริมหน้าต่างไว้เลยครับ ให้ความเป็นส่วนตัวได้ดีมากๆ เลย
ที่นั่ง Royal Laurel Class มีความกว้าง 26 นิ้ว ตัวใหญ่ก็นั่งได้ไม่อึดอัดครับ และเตียงสามารถปรับเอนนอนได้ราบ 180 องศา เมื่อปรับราบแล้วมีความยาวเตียง 78 นิ้ว (198 เซนติเมตร) ด้านข้างที่นั่งเป็นโต๊ะพร้อมช่องวางแก้วน้ำ
หน้าจอที่อยู่ด้านหน้า ต้องกดสลักปลดล็อกให้หน้าจอเปิดออกมาอยู่องศาที่สามารถดูได้ตามปกติ โดยจะต้องเก็บหน้าจอทุกครั้งที่เครื่องกำลังจะ Take off และ Landing (เป็นจุดอ่อนของหน้าจอแบบนี้ ที่ทำให้การรับชมต้องชะงักไปหลายสิบนาที)
บริเวณพื้นที่นั่ง เป็นตำแหน่งของที่วางเท้า และช่องวางเท้าที่เป็นส่วนหนึ่งของปลายเตียงเมื่อปรับเอาะเบนราบ ที่กว้างอย่างเหลือเฟือเมื่อนั่งอยู่ในตำแหน่งปกติ จะเห็นว่าทาง EVA Air เตรียมผ้าห่มอย่างหนาเอาไว้ให้เรียบร้อย ส่วนด้านข้างเป็นช่องเก็บของ 2 ช่อง ที่มีกล่องหูฟังขนาดใหญ่เสียบไว้อยู่
ช่องเก็บของอีกช่องอยู่ติดกับทางเดิน เป็นตำแหน่งของที่เก็บคู่มือความปลอดภัย, นิตยสารของ EVA Air, แคตตาล็อก Duty Free, ถุงอ้วก และ ในถุงผ้าสีน้ำตาลนั่นคือรองเท้าแตะครับ
อีกด้านหนึ่งที่อยู่ข้างศีรษะ เป็นตำแหน่งของช่องเก็บขวดน้ำ ที่มีน้ำดื่ม Fiji มาให้หนึ่งขวด, ช่องเก็บรีโมทคอนโทรล, ปลั๊กไฟแบบ Universal, ช่องเสียบอุปกรณ์ความบันเทิง, พอร์ต USB, ช่องเสียบหูฟังแบบ Noise Cancellation และไฟอ่านหนังสือ ที่ปรับความสว่างได้ 2 ระดับ
ปุ่มปรับเอนที่นั่ง สามารถปรับได้แบบละเอียดยิบๆๆ และมีปุ่มปรับแบบรวดเร็ว 3 แบบ คือ ปรับเป็น fully upright เพื่อ take off/landing, ปุ่มปรับในที่นั่งแบบสบาย คือเอนหลังเล็กน้อย และ ปุ่มปรับนอนราบ ใช้งานจริงถือว่าสะดวกมากครับ
ด้านข้างฝั่งที่ติดทางเดิน สามารถกดสลักเพื่อให้ที่วางแขนเด้งขึ้นมาได้ครับ ซึ่งเสริมความสบายในขณะที่นั่งอยู่กับที่ได้ และยังมีประโยชน์ตอนจะลุกจากท่านอนราบด้วย โดยที่วางแขนนี้ก็จะถูกบังคับให้เก็บเข้าที่เมื่อเครื่องจะทำการ take off/landing เช่นกัน
หูฟัง Noise Cancellation ที่ EVA Air ให้มา เป็นชื่อรุ่น Thunder ซึ่งทำขึ้นเฉพาะเพื่อใช้งานกับผู้โดยสาร Royal Laurel Class ซึ่งทาง EVA Air เคลมว่าถูกดีไซน์มาให้มีน้ำหนักเบา คุณภาพเสียงดี ตัดเสียงรบกวนรอบข้างได้ และยังมีปุ่ม Mute เพื่อความสะดวกในการสื่อสารกับพนักงานต้อนรับโดยไม่ต้องถอดหูฟังออกด้วย โดยหูฟังจะมาพร้อมกับกระดาษหุ้มที่ครอบหูชุดใหม่ทุกครั้งเพื่อสุขอนามัย
ในช่วงที่ผู้โดยสารกำลังถูก boarding ขึ้นเครื่อง พนักงานต้อนรับของ EVA Air ก็จะเอาสิ่งนี้มาให้ครับ … มันคือชุดนอน (เสื้อแขนยาวคอวี และ กางเกงยางยืดขายาว) ในถุงผ้าสีน้ำตาล มีไซส์ให้เลือกตามแต่ผู้โดยสารแต่ละคน และมันคือชุดนอนที่ใส่สบายมากกกก ๆ ๆ ๆ ใช้ผ้านุ่ม ๆ ไม่มีตะเข็บที่น่ารำคาญ แนะนำว่า ถ้าใครเดินทางในเที่ยวบินยาวๆ แบบนี้ รับชุดนอนมาแล้วลุกไปเปลี่ยนเลยครับ สบายแบบสุดๆ
ในเที่ยวบินระหว่างทวีปในชั้นโดยสาร Royal Laurel Class จะได้กระเป๋า amenity kit ของ Rimowa ด้วยครับ ข้างในก็มีผ้าปิดตา ชุดแปรงสีฟัน ลิปบาล์ม แฮนด์ครีม ฯลฯ โดยแต่ละเที่ยวบินก็จะได้กระเป๋าคนละสีคละกันไป
In-flight Cuisine
ก่อนที่เครื่องจะ Take off พนักงานต้อนรับก็จะแจกเมนูอาหารและเครื่องดื่มมาให้เลือกสรรกันก่อนครับ ซึ่งก็มีช้อยส์ให้เลือกเยอะแยะละลานตาเลยทีเดียว และพนักงานต้อนรับก็จะมาจดว่าที่นั่งไหน เลือกเมนูอะไรบ้าง เพื่อเตรียมมาเสิร์ฟเมื่อเครื่องขึ้นแล้ว
เมื่อเครื่องบินไต่ระดับความสูงจนกัปตันปิดไฟแจ้งรัดเข็มขัดแล้ว พนักงานต้อนรับก็นำออเดิร์ฟ เป็นถั่วและขนมปังกรอบ พร้อมเครื่องดื่มมาเสิร์ฟให้ทานกันไปเล่นๆ ก่อน
โต๊ะสำหรับทานอาหาร ถูกดึงมาจากช่องเก็บด้านข้าง และปูด้วยผ้าปูโต๊ะด้วยลวดลายสไตล์จีนๆ ดูว่าสวยหรือไม่สวยก็แล้วแต่จะพิจารณากันนะครับ
พนักงานต้อนรับมาปูผ้ารองจานอีกชั้น พร้อมแก้ว ส้อม มีด ไม้จิ้มฟันและผ้ากันเปื้อน เสิร์ฟอาหารจานแรกเป็น มูสตับห่าน หอยเชลล์ตัวใหญ่ ซัลซ่ามะเขือเทศ และผักสด ก่อนที่จะมีขนมปังหลากหลายชนิดมาให้เลือก พร้อมเนยสด จานนี้อร่อยทุกอย่างและเข้ากันดีมากครับ ทานหมดเกลี้ยงอย่างรวดเร็ว (หรือเพราะหิวก็ไม่รู้เหมือนกัน)
ซุปฟักทอง ขนมปังกรอบ เสิร์ฟมาแบบอุ่นๆ กำลังดี รสชาติหวานไปนิด
จานต่อมาเป็นสลัดผักสดครับ ซึ่งทีเด็ดอยู่ที่เราสามารถเลือกน้ำสลัดได้ 3 อย่าง 3 สไตล์ ตั้งแต่ตอนเสิร์ฟเลย พนักงานน่ารักมากๆ ค่อยแนะนำและบริการอย่างดีตลอด
Main Course เป็นบะหมี่เนื้อตุ๋นครับ มาแบบสไตล์จีนสุดๆ มีทั้งเนื้อาด เนื้อเปื่อย เอ็น และเครื่องในเล็กน้อย เสิร์ฟพร้อมผักกวางตุ้ง และ ผักดอง จานนี้อร่อยกลมกล่อมดี แต่เนื้อเหนียวไปนิดนึง
ปิดท้ายมื้ออาหารเต็มคอร์สด้วยไอศกรีม Häagen-Dazs อิ่มจนจุก พร้อมนอนหลับกันแบบยาวๆ ครับ
Flat bed
หลังจากเสิร์ฟอาหารแล้ว พนักงานก็จะมาเก็บผ้าปูโต๊ะ และเก็บโต๊ะให้อย่างรวดเร็ว เพื่อให้เราได้ลุกไปเข้าห้องน้ำได้ง่ายๆ และเตรียมที่จะนอนหลับพักผ่อนครับ ซึ่งเมื่อพนักงานได้เก็บโต๊ะของผู้โดยสารครบทุกคนแล้ว ไฟในห้องโดยสารก็จะค่อยๆ มืดลงตามลำดับ
ที่นั่งของ Royal Laurel Class เมื่อปรับเอนราบเป็นเตียงแล้ว จะมีความยาว 198 เซนติเมตร ผ้าห่มค่อนข้างหนา และหมอนมีขนาดใหญ่ดี ให้ความสบายและความเป็นส่วนตัวพอสมควร แต่บริเวณปลายเตียงจะมีพื้นที่ค่อนข้างจำกัด เพราะถูกบีบเป็นช่อง ไม่ค่อยเหมาะสำหรับคนที่ชอบนอนเปลี่ยนท่าบ่อยๆ หรือเมื่อชันเข่า ก็จะชนกับขอบที่นั่งบ้างครับ ต้องจัดท่านอนอยู่สักพัก ถึงจะได้ท่านอนที่สบายและเหมาะสมกับลักษณะเตียงแบบนี้
อีกหนึ่งรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ของ Royal Laurel Class คือไฟบนเพดาน ที่ EVA Air ทำเป็นแสงระยิบระยับไว้คล้ายกับดาวบนท้องฟ้าครับ (Starlight Roof)
Wake Up Meal
หลังจากได้นอนหลับพักผ่อนแบบยาวๆ จนถึงเวลาประมาณ 2 ชั่วโมงก่อนที่เครื่องจะลงจอดที่สนามบินซานฟรานซิสโก ไฟในห้องโดยสารจะค่อยๆ สว่างขึ้นอีกครั้ง เพื่อเตรียมเสิร์ฟอาหารอีกหนึ่งมื้อครับ
ชาเขียวร้อนๆ และน้ำผลไม้ ถูกเสิร์ฟมาเป็นอย่างแรก (หรือจะเลือกเป็นชาชนิดอื่นๆ กับเครื่องดื่มเย็นอื่นๆ ก็ได้) พร้อมกับผ้าเย็น
มื้อนี้ผมเลือกเป็น Chinese Style อีกครั้งครับ ได้มาเป็นบะหมี่น้ำหมูแดง + กุ้ง และเห็ดหอม ชามใหญ่จัดเต็มมากๆ อร่อยถูกปากคนไทยแน่นอน แต่จานข้างเคียงนี่แปลกๆ ไม่รู้จะอธิบายว่ามันคืออะไร คีบทานได้คำเดียวก็วางเลย
ปิดท้ายด้วยผลไม้สด อันนี้เฉยๆ มากครับ ไม่ได้มีอะไรโดดเด่นเป็นพิเศษ เป็นอันเสร็จสิ้นการเดินทางด้วย Royal Laurel Class เที่ยวบินขาไปซานฟรานซิสโก ซึ่งผู้โดยสารในชั้น Royal Laurel นี้ก็จะได้สิทธิ์ในการลงจากเครื่องเป็นลำดับแรก ทำให้สามารถเดินไปต่อคิว ตม. เพื่อเข้าสหรัฐอเมริกาได้ก่อน โดยไม่มีเลนพิเศษหรือสิทธิพิเศษแต่อย่างใด ตอนที่ผมเดินทางไปถึงก็เป็นช่วง peak ของเที่ยวบินขาเข้าสหรัฐฯ พอดี ได้รอคิวอยู่ราวๆ 40 นาทีกว่าจะได้ผ่านเข้าประเทศครับ
มาดูเที่ยวบินขากลับกันบ้าง
Flight: BR17
Route: SFO-TPE
Date: 31 May 2015
Departure Time: 01:40
Arrival Time: 04:55
Duration: 12 hr 15 mins
Seat: 1D
Class: Royal Laurel Class
Aircraft: Boeing 777-300ER
Registration: B-16705
เที่ยวบินขากลับ EVA Air ก็ยังคงใช้เครื่องบิน Boeing แบบ 777-300ER เหมือนเดิมครับ โดยเที่ยวบิน BR17 มีกำหนดเดินทางออกจากซานฟรานซิสโกเวลา 01:40 น. แทบจะเป็นไฟลต์สุดท้ายในแต่ละคืนของสนามบินเลย โดยที่สนามบินซานฟรานซิสโก ก็จะมีเลานจ์ของ EVA Air เองที่เปิดรองรับเที่ยวบินนี้จนถึงเวลาขึ้นเครื่อง รวมถึงเลานจ์ของ Singapore Airlines KrisFlyer ก็อยู่ติดกันให้ผู้โดยสารสมาชิกบัตรทอง Star Alliance เลือกใช้บริการได้ แต่ของ SQ จะปิดเวลา 01:00 น. ตามเวลาเที่ยวบินสุดท้ายของ SQ
รอบนี้ผมมาใช้บริการเลานจ์ของ SQ แทนที่จะเป็นของ EVA ครับ เพราะเลานจ์ EVA ค่อนข้างเล็ก และมีไฟลต์ขาออกติดกันถึง 2 ไฟลต์ (BR7 และ BR17 เวลาใกล้ๆ กันเลย) ทำให้เลานจ์ EVA ค่อนข้างแออัดครับ หากใครเป็นสมาชิกบัตรทอง Star Alliance ก็ขอแนะนำให้ไปเลานจ์ของ Singapore Airlines จะดีกว่า
ด้วยความที่เครื่องบินจากลับเป็น config เดียวกับขามา จึงไม่ขอรีวิวในส่วนของที่นั่งซ้ำแล้วนะครับ มาดูเรื่องของการบริการและอาหารกันดีกว่า
Boarding
การเรียกขึ้นเครื่องของ EVA Air ที่สนามบินซานฟรานซิสโก ก็ใช้ระบบการเรียกเป็น Zone เช่นเดียวกันครับ โดยเปิดให้ผู้โดยสารชั้น Royal Laurel Class และสมาชิกบัตรทอง Star Alliance ได้ขึ้นเครื่องก่อนเป็นลำดับแรกทันทีที่เครื่องบินพร้อม
รอบนี้ผมเลือกที่นั่ง 1D ครับ เป็นที่นั่งหน้าสุดแถวกลาง เรียกว่าอยู่ส่วนหน้าสุดของเครื่องบินติดกับ Cockpit เลย มีเพียงแค่ห้องน้ำกั้นไว้เท่านั้น
สเต็ปเดิมครับ เมื่อได้ที่นั่งแล้ว ก็มีการเสิร์ฟ welcome drink พร้อมผ้าเย็น, แจกเมนูอาหาร, ชุดกระเป๋า Rimowa และชุดนอน
เปลี่ยนชุดนอนเรียบร้อยตั้งแต่ผู้โดยสารยัง boarding ไม่หมด เตรียมพักผ่อนเต็มที่ในเที่ยวบินนี้ครับ เพราะเวลาท้องถิ่นก็เกือบตีสองเข้าไปแล้ว ผู้โดยสารแต่ละคนนี่ง่วงได้ที่เลย
In-flight Cuisine
แม้จะเป็นเวลาดึกมากๆ แต่ก็ต้องเป็นไปตามขั้นตอนครับ เมื่อเครื่องบินทำความสูงได้ระดับหนึ่งแล้ว พนักงานต้อนรับก็จะออกมาเสิร์ฟอาหารทันที ส่วนใครที่ไม่อยากทานแล้ว ต้องการนอนหลับพักผ่อนก็สามารถแจ้งพนักงานได้ตั้งแต่ขึ้นเครื่อง พนักงานต้อนรับจะจดจำได้เป็นอย่างดีโดยไม่มารบกวนให้เสียอารมณ์แต่อย่างใด
ผมรู้สึกหิวเล็กน้อย เลยเลือกที่จะรับอาหารก่อนที่จะได้นอนพักผ่อนกันแบบยาวๆ ครับ จานแรกที่มาเสิร์ฟเป็นสลัดเนื้อปู และ ล็อบสเตอร์ โรยด้วยมะม่วงสุกชิ้นเล็กๆ เข้ากันดีมากๆ ชนิดที่จะเสียดายเลยถ้าพลาดจานนี้
ส่วนจาน main หนักเกินไปหน่อยครับ สำหรับการทานข้าวซี่โครงหมูอบในเวลาตีสองกว่า ผมเลยทานไปได้นิดเดียว แต่ก็อร่อยดีนะ
ปิดท้าย ก่อนนอนด้วยผลไม้สด และของหวาน เป็นคัสตาร์ดหวานๆ ใส่แก้วมา ชนิดที่หวานจนแสบคอ เลยได้ทานแต่ผลไม้สดไป หวานฉ่ำทุกชิ้นเลย
ก่อนนอน ก็ได้หยิบเอาชุดแปรงสีฟัน ในกระเป๋า Rimowa ที่ได้รับแจกมาตอน boarding ไปแปรงฟันเตรียมตัวนอนครับ (ขากลับนี่ได้ Rimowa สีน้ำตาลอมเทาอ่อนๆ สวยดี)
หมุนนาฬิกาข้ามมา 8 ชั่วโมงรวดเลยละกันครับ ก่อนที่เครื่องจะลงก็ได้เจอกับอาหารเช้า ทีเด็ดของ EVA Air ก็คือ “ข้าวต้ม” อุ่นมาแบบร้อนๆ พอดี พร้อมกับข้าวแบบจีนๆ ทั้งหมูหยอง ผัดเห็ด หน่อไม้ ไข่เจียว … และทุกอย่างเติมได้ไม่อั้น… บอกได้ว่า นี่คืออาหารบนเครื่องบินที่โคตรฟินครับ สายการบินอื่นๆ ควรพิจารณามีช้อยส์นี้!
ปิดด้วยอาหารจานสุดท้ายของเที่ยวบินนี้ด้วยผลไม้สดอีกเช่นเคย แต่คราวนี้มีเมล่อนหวานๆ มาด้วย ถือว่าจบได้สวยมากๆ
การเดินทางบน Royal Laurel Class ทั้งสองเที่ยวบินไป-กลับครั้งนี้ ถือว่าราบรื่นมากครับ มีข้อผิดพลาดให้เห็นน้อยมากๆ ยกเว้นแต่เรื่องเจ้าหน้าที่เช็กอินที่สนามบิน San Francisco เลินเล่อไม่ได้เช็กกระเป๋าของผมเข้าไปในระบบ ทำให้กระเป๋าหายไป 1 ใบ แต่ก็ได้คืนมาแล้วจาก blog ก่อนหน้าที่ได้เล่าให้ฟังกันไป (ตามไปอ่านได้ >> ที่นี่) แต่สำหรับการบริการและความสะดวกสบายบนเครื่องบิน ถือได้ว่ายอดเยี่ยม และเป็นหนึ่งในเที่ยวบินที่สะดวกสบายมากที่สุดเที่ยวหนึ่งในการเดินทางไปอเมริกาเหนือครับ
ของแถมก่อนจบ blog วันนี้ คือผมได้แวะเข้าไปใช้บริการเลานจ์ของ EVA Air ที่สนามบินไทเป (TPE) อีกครั้ง โดยครั้งนี้เลือกใช้บริการที่ The Star Lounge ครับ
EVA Air The Star Lounge, Taiwan Taoyuan International Airport
(Shower Room)
ที่แวะเข้าไปใช้บริการเลานจ์นี้ หลังจากที่อยู่บนเครื่องบินยาวนาน 13 ชั่วโมง ก็เรื่องเดียวเลยครับ คืออยากอาบน้ำเสียหน่อย และที่ The Star Lounge ก็มีห้อง Shower มากถึง 4 ห้องให้ได้ใช้บริการ โดยวิธีการใช้ ต้องเดินไปขอกุญแจห้อง Shower จากพนักงานที่เคาน์เตอร์ต้อนรับก่อน โดยจะต้องเอา boarding pass ของเที่ยวบินที่จะเดินทางต่อไปแลกไว้ครับ จากนั้นเมื่อใช้ห้องอาบน้ำเสร็จ ถึงเอากุญแจมาแลก boarding pass คืน
ความเก๋ไก๋ของห้อง shower ที่นี่ คือเป็นห้องส่วนตัวกว้างมาก และมีอุปกรณ์ให้ครบทุกอย่างแบบไม่ต้องเตรียมอะไรมาเองเลย ทั้งผ้าเช็ดตัว สบู่ แชมพู โลชั่น หมวกคลุมผม ไดร์เป่าผม ฯลฯ และเป็นของใหม่ทุกครั้งที่เข้าใช้งาน เพราะจะมีพนักงานเข้าไปจัดการทำความสะอาดห้อง shower ทุกครั้งที่เสร็จจากการใช้งาน สะอาด น่าอาบมาก และที่สำคัญก็คือ ฝักบัวเทพสุดๆ น้ำอุ่น แรง แถมมีฝักบัว Jet ที่ยิงออกมาจากด้านข้างตัวเล็กๆ อีก 3 ตัว ฟินสุดๆ ครับ
สรุป
สายการบิน EVA Air ของไต้หวันนี่มีจุดเด่นที่น่าสนใจหลายอย่างครับ โดยเฉพาะกับ Royal Laurel Class ที่ถือเป็นคลาสสูงสุดของสายการบินนี้ที่มีให้บริการ แม้ว่าจะเป็นสายการบินที่ไม่มี First Class แต่ก็ถือว่า EVA Air ทำมาตรฐานของ Royal Laurel ได้อย่างไม่น้อยหน้าชั้นธุรกิจของสายการบินอื่นเหมือนกัน
จุดเด่นสองอย่างที่ผมยกให้ Royal Laurel Class โดดเด่นมากๆ คือเรื่องอาหาร (โดยเฉพาะการเสิร์ฟข้าวต้มบนเครื่องบินเป็นมื้อเช้า เป็นอะไรที่ฟินมาก) และเรื่องความคุ้มค่า เพราะเมื่อเทียบราคาค่าตั๋วชั้นธุรกิจไปทวีปอเมริกาเหนือแล้ว Royal Laurel Class ของ EVA Air มักจะอยู่ในตัวเลือกเสมอ และโดยส่วนมากเป็นตัวเลือกที่ถูกที่สุดในบรรดากลุ่มสายการบินสมาชิก Star Alliance เสียด้วย ในขณะที่มาตรฐานโดยรวมถือว่าไม่มีอะไรใหญ่ๆ ให้ตำหนิ และการเปลี่ยนเครื่องที่สนามบินไทเปที่ EVA Air เป็นเจ้าถิ่น ก็เป็นไปด้วยความสะดวกสบาย เดินไม่ไกล เลานจ์รับรองหรูหรา ของกินเพียบ มีห้องอาบน้ำให้ใช้
ข้อเสียของที่นั่ง Royal Laurel Class น่าจะเป็นการจัด config ที่นั่งที่ไม่เอื้อต่อการเดินทางสองคนครับ เพราะไม่ว่าจะนั่งตรงไหน หากเดินทางมาด้วยกันมากกว่า 1 คน จะคุยกันยากมากๆๆๆ นั่งแล้วไกลกันมาก ในขณะที่ชั้นธุรกิจของสายการบินอื่นๆ มักจะมีที่นั่งที่เอื้อต่อการเดินทางเป็นคู่อยู่เสมอ รวมถึง Royal Silk Class ของการบินไทยด้วย ที่จะมีที่นั่งคู่ และที่นั่งเดี่ยวให้เลือก
อีกอย่างคือ ธีมและโทนสีของการตกแต่งภายในเครื่องบินด้วยสี earth tone เขียวคล้ำๆ เทาๆ ทำให้โดยรวมดูค่อนข้างเก่า ทั้งๆ ที่หลายที่นั่งก็ยังมีความใหม่ และไม่มีริ้วรอยอะไรให้เห็นมากมายนัก บวกกับไฟในห้องโดยสารที่ไม่สว่างมากนัก เลยทำให้บรรยากาศรวมๆ ดูเก่าไปเลย
สรุปแล้ว ผมว่า EVA Air ยังคงเป็นช้อยส์ที่ดีในการเดินทางไปยังทวีปอเมริกาเหนือ โดยมีจุดหมายให้เลือกหลายเมืองในราคาที่คุ้มค่า มีให้เลือก 3 คลาสเดินทาง คือ Economy, Premium Economy (หรือเรียกว่า Elite Class) และ Royal Laurel Class กับมาตรฐานการบริการในแบบบฉบับของสายการบินเอเชีย ยิ้มแย้ม ใข้แอร์(ขาวหมวย)ล้วนๆ ไม่มีสจ๊วตสุภาพนอบน้อม อาหารอร่อย นอกเหนือจากนี้ EVA Air ยังมีจุดหมายจากสนามบินสุวรรณภูมิเราบินตรงไปทางยุโรป ทั้งลอนดอน อัมสเตอดัม และ เวียนนาด้วยครับ
- พาชม “ARIA SUITE” — Business Class แบบใหม่ของ Cathay Pacific มีประตูปิดทุกที่นั่ง!
- รีวิว First Class สายการบิน SWISS — ขั้นสุดของสวิส เส้นทาง Zurich-Bangkok
- พาเดินงาน AIX 2024 ✈️ — พรีวิวที่นั่งใหม่ การบินไทย Airbus A320 ก่อนใช้จริงสิ้นปีนี้
- รีวิว การบินไทย Royal First Class ปี 2024 — กรุงเทพ-ลอนดอน Boeing 777-300ER
- รีวิว Qatar Qsuite ปี 2024 — ยังเป็น Business Class ที่ดีที่สุดอยู่มั้ย?
- รีวิว ANA “The Suite” — First Class ใหม่ บน Boeing 777-300ER
- รีวิว Dassault Falcon 6X — พาบินไปสิงคโปร์ด้วย Private Jet ลำตัวกว้างสุดในโลก
- รีวิว EVA Air Business Class — ซีแอตเทิล-ไทเป Boeing 787-10
- รีวิวกระเป๋าเดินทาง Samsonite ใหม่ 3 รุ่น — ทน เท่ เบา ล้อดีจริง ฟังก์ชั่นครบ!
- เจาะลึก ATC — เจ้าหน้าที่ควบคุมจราจรทางอากาศ อาชีพสำคัญในอุตสาหกรรมการบิน
- รีวิว Business Class สายการบิน Swiss — กรุงเทพ-ซูริค Boeing 777-300ER
- พาชม “SAT-1” เทอร์มินัลใหม่ สนามบินสุวรรณภูมิ เปิดแล้ววันนี้
- รีวิว Finnair Business Class ที่นั่งแบบใหม่ ใหญ่สบายมาก แต่ปรับเอนไม่ได้! 🤨
- สุดในรุ่น “ACH130 Aston Martin Edition” — เฮลิคอปเตอร์ Airbus ที่ตกแต่งโดย Aston Martin!
- รีวิว Shark Aero เครื่องบินสปอร์ตสายซิ่ง เร็ว แรง ทำสถิติบินเดี่ยวรอบโลกมาแล้ว
- รีวิว Emirates First Class ปี 2023 — บินสบาย อาบน้ำบนเครื่องบิน หรูสุดแบบไม่เกรงใจใคร
- รีวิว ANA 「THE Room」 Business Class แบบใหม่ล่าสุด กว้างสุด มีประตูทุกที่นั่ง
- รีวิวคู่ พาซู่ชิงขึ้น First Class – สายการบิน Cathay Pacific ไปนิวยอร์ก!
- พาเจาะลึก Airbus A330neo ลำใหม่ล่าสุดของ Thai Lion Air
- รีวิว Qatar Qsuite – Business Class ที่ดีที่สุดในโลกประจำปี 2019
- รีวิว First Class สายการบิน Cathay Pacific นิวยอร์ก-ฮ่องกง ยาวๆ 16 ชั่วโมงรวด
- รีวิว Business Class สายการบิน Cathay Pacific นั่งไกลๆ ปรับปรุงเมนูใหม่ อาหารจัดเต็มสุดๆ
- รีวิว First Class สายการบิน Lufthansa พร้อมรีวิว First Class Terminal สนามบิน Frankfurt
- พาชม เจาะลึก Airbus A330neo รุ่นใหม่ล่าสุด ลำแรกของ Thai AirAsia X
- รีวิว Business Class สายการบิน EVA Air ไทเป-ซานฟรานซิสโก (Boeing 777-300ER)
- รีวิว Business Class สายการบิน Hong Kong Airlines เครื่องบินใหม่ ราคาสุดคุ้ม
- รีวิว Business Class – Cathay Pacific บน Boeing 777-300ER เส้นทาง SFO-HKG
- รีวิว Business Class บน Boeing 787-10 ใหม่ล่าสุด สายการบิน Singapore Airlines
- รีวิว Qatar Qsuite – Business Class ที่เหมือน First Class เป็นห้องส่วนตัว ปิดประตูได้!
- บุกศูนย์ฝึกลูกเรือ Singapore Airlines ชมเบื้องหลังเที่ยวบินที่ไกลที่สุดในโลก!
- รีวิว Royal First Class การบินไทย บน Airbus A380 เส้นทางกรุงเทพ-ลอนดอน
- 6 ความลับของ Economy Class รู้แล้วจะนั่งสบายขึ้นอีกเยอะ!
- รีวิว ‘Throne Seat’ ที่นั่ง Business Class แบบใหม่ล่าสุดของการบินไทย
- รีวิวสุดยอด First Class Suites แบบใหม่ล่าสุด บน Singapore Airlines A380
- รีวิว Business Class สายการบิน Cathay Pacific กรุงเทพฯ – ฮ่องกง
- รีวิว Emirates First Class Suites แบบใหม่ล่าสุด – First Class แรกของโลกที่เป็นห้องปิด 100%
- รีวิว ‘Premium Economy’ การบินไทย ดีงามไม่ต่างจาก Business Class
- รีวิว Premium Flatbed ชั้นธุรกิจ สายการบิน Thai AirAsia X
- รีวิว ห้องอาบน้ำบนเครื่องบิน Emirates First Class – Airbus A380
- รีวิว ANA Premium Economy ชั้นประหยัดพรีเมียม นั่งสบาย ในราคาไม่โหดร้าย
- พาชมโรงงาน Boeing พร้อมพา Boeing 787-9 ลำใหม่ของการบินไทยกลับสุวรรณภูมิ
- รีวิว Emirates First Class Suites ห้องส่วนตัวสุดหรูบนเครื่องบิน
- รีวิว First Class สายการบิน Korean Air แบบใหม่ล่าสุดบน Boeing 777-300ER
- พรีวิว! ที่นั่ง Business Class แบบใหม่ล่าสุดของการบินไทย บน Boeing 787-9
- รีวิว Prestige Suites ที่นั่ง Business Class แบบใหม่บนสายการบิน Korean Air
- การบินไทย มีที่นั่ง Business Class แบบไหนบ้าง? + วิธีจองให้ได้ที่นั่งแบบใหม่
- รีวิว ScootBiz สายการบิน NokScoot เส้นทางดอนเมือง-ไทเป ที่นั่งกว้าง ราคาเบา
- รีวิว First Class แบบใหม่ของ Singapore Airlines – Boeing 777-300ER
- รีวิว “The Private Room” โคตรเลานจ์ของสนามบิน Singapore Changi
- รีวิวไฟลต์สุดน่ารัก เครื่องบิน “Gudetama” ไข่ขี้เกียจ ลำเดียวในโลก
- รีวิว การบินไทย Royal Silk Class บน Airbus A350-900 XWB รุ่นล่าสุด
- รีวิว Etihad ‘Business Studio’ ชั้นธุรกิจที่ไม่มีความทัดเทียม (B77W/A380)
- รีวิว United Polaris Business Class ชั้นธุรกิจรูปแบบใหม่ของ UA
- รีวิว First Class สายการบิน ANA สุดยอดความหรูหราแบบญี่ปุ่น
- รีวิว First Class Suite สายการบิน Asiana หรู เนี๊ยบ สไตล์เกาหลี
- รีวิว Business Class บน A380 สายการบิน Emirates
- รีวิว ชั้น Smile Plus (ชั้นประหยัดพรีเมียม) สายการบินไทยสมายล์
- รีวิว Lufthansa Business Class บน Boeing 747-8I
- รีวิว Etihad First Class “Apartment” ที่สุดของการเดินทางในชั้นเฟิร์สคลาส
- เจาะลึก การบินไทย Boeing 787-8 Dreamliner เครื่องบินที่ไฮเทคที่สุดในฝูงบินปัจจุบัน
- รีวิว Business Class บน Airbus A380 สายการบิน Singapore Airlines
- รีวิว Business Class สายการบิน ANA เส้นทางโตเกียว-ซานฟรานฯ (Boeing 777-300ER)
- รีวิว Royal Silk Class บนการบินไทย Boeing 787 Dreamliner
- รีวิว United Business First Class บน Boeing 787-8 Dreamliner
- รีวิว Business Class สายการบิน ANA เส้นทางกรุงเทพ-โตเกียว (Boeing 777-200ER)
- รีวิว การบินไทย ชั้นธุรกิจ Royal Silk Class ใหม่ การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของการบินไทย
- รีวิว Business Class สายการบิน Austrian เส้นทางกรุงเทพ-เวียนนา
- รีวิว การบินไทย Royal First Class เส้นทางกรุงเทพ-แฟรงก์เฟิร์ต
- รีวิว Royal Laurel Class สายการบิน EVA Air เส้นทางไทเป-ซานฟรานซิสโก
- รีวิว เครื่องบินที่มุ้งมิ้งกระดิ่งแมวที่สุดในโลก Hello Kitty Jet
- รีวิว Royal First Class บนการบินไทย Airbus A380 เส้นทางกรุงเทพ-โตเกียว