รีวิว iPhone XR

มาแล้วครับ นี่คือ iPhone XR ไอโฟนในเจเนอเรชั่นล่าสุด ที่ไม่มีปุ่มโฮมแล้ว และเริ่มต้นในราคาที่ถูกกว่า iPhone X เดิมร่วมหมื่นบาท แถมมันยังได้เทคโนโลยีจาก iPhone XS รุ่นใหม่ล่าสุดของปีนี้อีกด้วย จึงนับได้ว่านี่เป็นไอโฟนรุ่นที่น่าใช้มากที่สุดของปีนี้เลยครับ

รับชมแบบวิดีโอ

ก่อนที่เราจะไปดูฟีเจอร์ต่างๆ iPhone XR นี่มีให้เลือกมากถึง 6 สีเลยนะครับ ถือเป็น iPhone รุ่นที่มีสีให้เลือกมากที่สุด (ตอนสมัย iPhone 5C มีให้เลือกทั้งหมด 5 สี) เรามาดูแต่ละสีกันก่อนเลยครับ

Blue สีฟ้า

เริ่มจากสีฟ้า ที่เป็นสีฟ้าในโทนสว่างมากๆ สีสดมากๆ ครับ ด้านหลังของ iPhone XR ทุกสีจะเป็นกระจกแบบนี้ และมีชั้นเลเยอร์สีอยู่ภายใต้กระจกถึง 7 ชั้น ส่วนขอบตัวเครื่องเป็นอะลูมิเนียมสีด้านๆ ถ้าอย่างสีฟ้านี่ ก็จะเป็นสีฟ้าด้านๆ ทรายๆ หน่อย คลุมขึ้นมาถึงขอบด้านหน้าตัวเครื่องให้พอเห็นตามขอบของหน้าจอได้

Coral สีส้มโครัล

สีส้ม หรือที่แอปเปิลเรียกว่า สีโครัล เป็นโทนสีส้มสดๆเลยนะครับ ขอบตัวเครื่องเป็นอะลูมิเนียมสีส้มด้านๆ จนเกือบจะดูเป็นสีชมพูในบางมุม ผมว่าสีนี้เท่ดี เพราะเป็นสีใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อนในไอโฟนรุ่นไหนเลยด้วย ดูจากด้านหน้าเห็นเป็นขอบสีส้มๆ ก็สวยไปอีกแบบ ผมลืมบอกไปว่า iPhone XR ทุกสีจะเปิดเครื่องขึ้นมาพร้อมกับพื้นหลังที่เข้ากับสีตัวเครื่องด้วยนะครับ

PRODUCT(RED)™

สีแดงบ้างครับ อันนี้มาเป็นแดง PRODUCT(RED)™ เลย แดงสดๆ ในโทนเดียวกับไอโฟนแปดสีแดงก่อนหน้านี้ สีนี้เป็นสีเดียวที่มีโลโก้ PRODUCT(RED)™ เพิ่มเติมอยู่ใต้คำว่าไอโฟน ขอบตัวเครื่องจะแตกต่างจากรุ่นอื่นตรงที่เป็นอะลูมิเนียมสีแดงสดๆ ด้วย เมื่อมาตัดกับหน้าจอสีดำด้านหน้าแล้ว ก็สวยดุดันอย่างมากเลย

Yellow สีเหลือง

สีเหลืองบ้างครับ เหลืองนี้เป็นเหลืองสดมากๆ สว่างมากๆ และผมว่าเป็นสีที่เด่นสะดุดตามากที่สุดสีนึง ขอบตัวเครื่องจะเป็นสีเหลืองที่ซีดลงมาหน่อย แต่ภาพรวมก็ถือว่าสวยมากเช่นกัน

Black สีดำ

สีดำ ที่ดูเป็นสีมาตรฐานสุดๆ สำหรับคนที่ไม่ชอบโทรศัพท์สีสันฉูดฉาด ด้านหลังเป็นกระจกและซ้อนด้วยสีดำสนิทอยู่ด้านใต้ คมเข้มกว่าสีเทาสเปซเกรย์ของ iPhone XS ขอบตัวเครื่องเป็นสีดำด้าน และกลมกลืนเข้ากับหน้าจอสีดำด้านหน้า ดูเรียบร้อย และเท่ดีครับ

White สีขาว

สุดท้าย คือสีขาว ที่ผมคิดว่าไม่ธรรมดา เพราะแอปเปิลไม่ได้ทำไอโฟนสีขาวมานานแล้ว มาทำอีกครั้งพร้อมพื้นผิวกระจกด้านหลังแบบนี้ ดูหรูหราเอาเรื่องเลยนะครับ แถมขอบตัวเครื่องเป็นสีเงิน แบบด้านๆ เรียบร้อย และน่าจะดูหรูหราที่สุดในบรรดาทุกสีครับ ใครที่นึกถึง iPhone 5C น่าจะเห็นแล้วนะครับ ว่ามันไม่เหมือนกันเลย ทั้งวัสดุและฟิลลิ่งโดยรวม 

iPhone XR

iPhone XR มาในขนาดหน้าจอใหม่นะครับ คือขนาด 6.1 นิ้ว ซึ่งมีขนาดอยู่ระหว่าง iPhone XS และ iPhone XS Max เข้ามือได้พอดิบพอดี ไม่เล็กและไม่ใหญ่เกินไป ใช้หน้าจอแบบสุดขอบทุกด้านเหมือนกับ iPhone XS โดยใช้ชุดเซนเซอร์ด้านหน้าที่เป็นขอบดำๆ ตัดลงมาด้านบนชุดเดียวกับ iPhone XS ทุกประการ นั่นหมายความว่า iPhone XR มีกล้องหน้า คุณภาพเดียวกับ iPhone รุ่นพี่ มีเซนเซอร์สแกนใบหน้า มีเซนเซอร์ depth รองรับ Animoji , การทำ Memoji เป็นแอนิเมชั่นหน้าตัวเอง ในระดับเดียวกับ iPhone XS ทุกประการเลย

นอกจากนี้มันยังสามารถถ่ายเซลฟี่ในโหมด Portrait ได้อย่างเต็มรูปแบบอีกด้วย คือสามารถปรับแสง Portrait Lighting ได้ 5 แบบอย่างครบถ้วน ทั้งโหมดหน้าชัดหลังเบลอปกติ, Studio, Contour, Stage Light และ Stage Light Mono จากกล้องหน้าได้อย่างเต็มที่

แถมยังได้ฟีเจอร์ล่าสุด อย่างการปรับ Depth Control ปรับระดับความเบลอของฉากหลัง ภายหลังจากที่ถ่ายภาพมาแล้วได้ด้วย บอกแล้วว่า ไม่มีกั๊กครับ ฟีเจอร์นี้ มีอยู่ในเฉพาะ iPhone XS, iPhone XS Max กับ iPhone XR เท่านั้น

ตัวอย่างภาพจากกล้องหน้า ใน Portrait Mode ของ iPhone XR (คลิกเพื่อดูความละเอียดเต็ม)

กล้องหน้า และ เซนเซอร์ทุกตัวด้านหน้าของ iPhone XR คือชุดเดียวกับที่อยู่ใน iPhone XS ทุกประการ ดังนั้น iPhone XR จึงมีคุณภาพของกล้องหน้า , ลูกเล่นของโหมดการถ่ายภาพ และมีฟีเจอร์ Face ID, Animoji, Memoji อย่างครบถ้วน

ส่วนของหน้าจอขนาด 6.1 นิ้วตัวนี้ เป็นหน้าจอรุ่นใหม่ครับ ที่ถึงแม้จะยังเป็นหน้าจอแบบ LCD เช่นเดียวกับไอโฟนรุ่นก่อนๆ ไม่ได้ใช้หน้าจอ OLED แบบพวก iPhone X หรือ iPhone XS แต่มันคือหน้าจอ LCD ที่ดีที่สุดเท่าที่ Apple เคยทำมา Apple เรียกมันว่า “Liquid Retina Display” รองรับการแสดงผลแบบทรูโทน และการแสดงสีมาตรฐาน DCI-P3 เช่นเดียวกับไอโฟนรุ่นพี่ แต่แพ้ในเรื่องของความละเอียดที่น้อยกว่า และคอนทราสต์ที่ต่ำกว่าครับ ถ้าใช้งานทั่วไป อาจจะไม่เห็นผลมากนัก แต่คอนเทนต์ HDR หรือคอนเทนต์ความละเอียดสูงๆ ก็แน่นอนว่า มันจะสู้หน้าจอของ iPhone XS ไม่ได้ ถ้าวางเทียบกันตัวต่อตัว จะเห็นความแตกต่างได้พอสมควรเลย

นอกจากนี้ หน้าจอของ iPhone XR จะไม่รองรับการกดน้ำหนักแบบ 3D Touch นะครับ สูญเสียความสามารถในการทำ peek and pop กดแช่หนักๆ บนไอค่อนต่างๆ หรือการพรีวิวรูป ก็จะทำไม่ได้แล้ว ยกเว้นไอค่อนเมนูบางอย่างในคอนโทรลเซนเตอร์ ที่จะยังใช้การกดแช่ลงไปได้อยู่บ้างเท่านั้นเอง

พลิกมาดูด้านหลังบ้าง จะเห็นว่า iPhone XR มีกล้องหลังเพียงแค่ตัวเดียวนะครับ แต่นี่คือกล้องหลังเดียวกับกล้องหลักที่อยู่ใน iPhone XS ทุกอย่าง ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล f/1.8 เหมือนกัน เซนเซอร์ตัวเดียวกัน มีระบบกันสั่น OIS เหมือนกัน ใช้แฟลช Quad-LED ตัวเดียวกันครับ นั่นหมายความว่า ถ้าเราใช้ iPhone XR ถ่ายรูปหรือถ่ายวิดีโอในมุมมองปกติ แบบไม่ได้ซูม Tele 2 เท่า มันจะได้ภาพหรือวิดีโอในคุณภาพเดียวกับ iPhone XS ทุกอย่าง ผมลองมาแล้ว ยืนยันเลยว่ากล้อง iPhone XR สวยมากๆ และดีกว่ากล้อง iPhone X เสียอีก

แต่สิ่งที่แตกต่าง คือมันจะสูญเสียความสามารถในการซูมสองเท่าด้วยออพติคัลไป เพราะมันไม่มีเลนส์ซูมแล้ว แต่แอปเปิลก็ใจดี ให้โหมด Portrait มาให้กับกล้องหลังอยู่ดี แถมมันเป็นโหมด Portrait ที่ไม่ถูกซูมสองเท่าเข้าไปเหมือนใน iPhone X หรือ iPhone XS ด้วย ใช้เลนส์มุมมองปกตินี่แหละ ละลายฉากหลังให้เบลอได้แบบสะใจ เพียงแต่มันมีข้อจำกัดว่า สามารถถ่าย Portrait Mode ได้เฉพาะการถ่ายภาพคนเท่านั้น แตกต่างจาก iPhone X และ iPhone XS ที่ถ่าย Portrait Mode กับวัตถุอะไรก็ได้ เนื่องจากใน iPhone XR จะตรวจจับสิ่งที่เราจะถ่ายด้วยซอฟต์แวร์ และมันก็เลือกที่จะตรวจจับบุคคลเท่านั้นครับ จากนั้นจะทำการละลายฉากหลังด้วยซอฟต์แวร์ทั้งหมด ข้อดีของมันคือ มันสามารถถ่าย Portrait ในระยะเลนส์ปกติของไอโฟนได้ และผลลัพธ์ที่ออกมา ทำให้มันได้มุมมองที่แม้กระทั่ง iPhone XS ก็ทำไม่ได้เสียด้วย เพราะเราจะได้ภาพ Portrait มุมกว้าง ฉากหลังเบลอ ซึ่งผมชอบมากครับ

ผมลืมบอกไปว่า ใน iPhone XR กล้องหลังเราจะปรับ Portrait Lighting ได้แค่สามแบบนะครับ ไม่มี Stage Light กับ Stage Light Mono ให้เราเลือก แต่ถึงมันจะมีกล้องหลังตัวเดียวแบบนี้ เรายังสามารถปรับ Depth Control ระดับการละลายฉากหลังได้ด้วยเหมือนกับ iPhone XS ด้วยนะครับ

ตัวอย่างภาพจาก Portrait Mode กล้องหลัง iPhone XR (คลิกเพื่อดูความละเอียดเต็ม)

iPhone XR กับ iPhone XS นี่ใช้ชิพ A12 Bionic ตัวเดียวกันด้วยนะครับ รองรับการใช้งานแอพต่างๆ ที่ใช้พลังซีพียูแรงๆ ได้เทียบเท่ากันทั้งหมดแบบไม่มีกั๊ก และรองรับการชาร์จแบบไร้สายได้เช่นเดียวกัน แต่อีกส่วนที่ iPhone XR มีความแตกต่างจาก iPhone XS ก็คือความสามารถในการกันน้ำกันฝุ่น ที่ iPhone XR จะอยู่ในมาตรฐาน IP67 ในขณะที่ iPhone XS กับ iPhone XS Max ขยับขึ้นไปรองรับที่ IP68 แล้ว 

ถ้าไม่นับเรื่องหน้าจอแล้ว iPhone XR ให้สเปกมาเทียบเท่า iPhone XS เกือบทุกประการ ในราคาที่ถูกกว่านับหมื่นบาท

เป็นไงบ้างครับ ผมว่าโดยรวม iPhone XR เป็นไอโฟนที่น่าใช้มากๆ รุ่นนึงเลยของปีนี้ เพราะได้เทคโนโลยีใหม่ล่าสุดจาก iPhone XS มาแทบไม่มีกั๊ก มีกล้องที่เฉียบขาด รองรับ Face ID รองรับ Portrait Mode มีให้เลือกทั้งหมด 6 สีสวยงาม ใน 3 ความจุ คือ

  • ขนาด 64GB ราคา 29,900 บาท
  • ขนาด 128GB ราคา 31,900 บาท
  • ขนาด 256GB ราคา 35,900 บาท

เริ่มวางขายอย่างเป็นทางการในไทยวันแรก คือ วันศุกร์ที่ 26 ต.ค. นี้ครับ

บทความโดย:
อู๋ spin9

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save