รีวิว Apple CarPlay บนรถ Ferrari 488 Spider ใหม่

หลายคนน่าจะเคยได้ยินชื่อของ Apple CarPlay บ้างแล้ว หรืออย่างน้อยก็น่าจะพอรู้คอนเซ็ปต์ของการเชื่อมต่อมือถือเข้ากับรถยนต์ เพื่อให้หน้าจอในรถใช้ข้อมูลเดียวกับบนมือถือ ทั้งคอนแทคลิสต์ แผนที่ เพลง วิดีโอ หรือแม้กระทั่งระบบนำทาง .. ซึ่งถ้ามันทำได้จริง ก็จะเป็นรถยนต์ที่น่าใช้ไม่น้อยเลย

ทั้ง Apple iOS และ Google Android ก็พยายามอย่างมากกับคอนเซ็ปต์นี้ครับ เพราะในอนาคต จะเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องการและถามหาอย่างแน่นอน (จริงๆ ไม่ต้องถึงอนาคต ตอนนี้ก็อยากจะได้มาใช้กันมากอยู่แล้ว) แต่การพัฒนาของการเชื่อมต่อสมาร์ทโฟนเข้ากับรถยนต์ ถือเป็นเรื่องยาก เพราะว่าทั้ง Apple และ Google ต่างก็ต้องไปร่วมมือกับผู้ผลิตรถยนต์อีกหลายสิบยี่ห้อ เพื่อให้หน้าจอของรถยนต์แต่ละรุ่น รวมถึงปุ่มควบคุม จอยสติ๊ก ปุ่มบนพวงมาลัย ลำโพง รวมถึงระบบสั่งการด้วยเสียงของรถยนต์ สามารถใช้งานร่วมกันได้ทั้งระบบ … ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

apple-carplay

Apple เปิดตัวระบบนี้ครั้งแรกในชื่อ iOS in the Car ครับ และได้เปลี่ยนชื่อเป็น Apple CarPlay ในปัจจุบัน ส่วนทาง Google เองก็เปิดตัวระบบนี้ในชื่อ Android Auto โดยทั้งสองค่ายยักษ์ใหญ่ ก็ได้ประกาศความร่วมมือกับค่ายรถยนต์มาแล้วนับสิบยี่ห้อ … แต่ก็ยังไม่มียี่ห้อไหน นำรถรุ่นใหม่ที่รองรับฟีเจอร์นี้เต็มระบบออกสู่ตลาดเสียที จนกระทั่งวันนี้ ผมมีโอกาสได้ลองใช้ Apple CarPlay อย่างเต็มรูปแบบแล้ว … ในรถ Ferrari 488 Spider รุ่นล่าสุด!

488-spider-iaa
DSC00723

Ferrari 488 Spider เปิดตัวอย่างเป็นทางการในงาน IAA Frankfurt Motor Show 2015 ที่มหานครแฟรงก์เฟิร์ต เมื่อวันที่ 15 ก.ย. ที่ผ่านมาครับ ซึ่งนอกเหนือที่มันจะเป็นรถยนต์เฟอร์รารี่ตัวแรง เครื่องยนต์ 3.9 ลิตร 670 แรงม้า เปิดประทุนหลังคาแข็งที่หลายคนใฝ่ฝันแล้ว มันยังมาพร้อมกับ Apple CarPlay ที่พร้อมใช้งานจริงแล้วด้วย

… เอาเป็นว่า เรื่องรถ ไว้รีวิวอีกทีละกันนะครับ วันนี้เอาเรื่อง CarPlay ก่อน

Apple CarPlay on Ferrari 488 Spider

DSC00705

หลังกระโดดขึ้นมานั่งในรถ Ferrari 488 Spider คันงามนี้แล้ว ก็ต้องสตาร์ทเครื่องเพื่อเริ่มการทำงานของระบบต่างๆ ก่อนครับ แล้วก็เอาสาย USB ของ iPhone เสียบเข้ากับพอร์ต USB ที่บริเวณคอนโซลกลางของตัวรถ (จะมี 2 พอร์ต พอร์ตนึงเอาไว้ชาร์จอย่างเดียว ต้องเสียบพอร์ตของ CarPlay)

DSC00719

ถ้าใช้งาน iOS 9 อยู่แล้ว เมื่อเสียบสายเข้ากับตัวรถ iPhone ก็จะ detect ฟีเจอร์ CarPlay ทันที โดยจะขึ้นเป็นแถบสีฟ้าอยู่บนสุดของหน้าจอ จากนั้น ก็ต้องกดปุ่ม “Apple CarPlay” บนตัวรถ Ferrari เพื่อเปิดหน้าจออินเตอร์เฟซแบบนี้

DSC00711

อินเตอร์เฟซหลักของ Apple CarPlay บนหน้าจอของรถยนต์ จะทำได้หลักๆ ประมาณ 6-7 อย่างครับ คือ

  • Phone
DSC00717

อันนี้แน่นอนอยู่แล้ว คือมันจะเชื่อมต่อกับระบบโทรศัพท์ของไอโฟนเราอัตโนมัติ แบบไม่ต้องแพร์ Bluetooth ให้ยุ่งยากครับ แค่เสียบสาย USB เส้นเดียวแบบนี้แหละ ซึ่งเวลาโทรเข้าออก ก็จะใช้ไมโครโฟนและลำโพงของตัวรถได้เลย รวมถึงหน้าจอสามารถแสดง Call log ต่างๆ ที่เราใช้งานล่าสุดได้ด้วย

  • Messages

ข้อความในกล่อง Messages ของ iPhone ทั้ง SMS ปกติ และ iMessage ก็มาแสดงอยู่บนหน้าจอนี้ได้เช่นเดียวกัน โดยเราสามารถเลือกตอบด้วยเสียงได้ และสั่งงานผ่าน Siri ได้ด้วย

  • Maps
DSC00715

ระบบการนำทาง จะเป็นแผนที่ของ Apple Maps มาแสดงบนหน้าจอของรถยนต์ครับ ซึ่งลองใช้จริงแล้ว ดูไม่ค่อยเวิร์กเพราะมองไม่เห็นรายละเอียดเล็กๆ แต่ที่ใช้ได้คือระบบนำทาง ที่จะเป็นลูกศรนำทางแบบ turn by turn และมีเสียงไกด์ให้ตลอด ออกทางลำโพงของตัวรถ

  • Music 
DSC00714

อันนี้สิเด็ด และได้ใช้งานกันทุกคนแน่ๆ ก็คือเรื่องเพลงครับ ระบบ Apple CarPlay จะดึงเอา Playlist ที่เราจัดไว้ มาเลือกเล่นได้โดยควบคุมผ่านจอยสติ๊กของรถยนต์ (ในกรณีของ Ferrari 488 Spider คันนี้ เป็นปุ่มคอนโทรล อยู่บริเวณช่องแอร์ข้างพวงมาลัยฝั่งขวา) และรองรับ Apple Music ด้วย จะฟังแบบ Streaming ก็ทำได้เหมือนกัน แต่ที่สำคัญคือ มันอ่านภาษาไทยออกครับ สมบูรณ์ 100% เลยทีเดียว

DSC00713
  • Podcasts/Audiobook 

อันนี้ไม่มีอะไรมาก Podcast และ Audiobook ที่มีในไอโฟน สามารถเรียกขึ้นมาฟังได้ผ่านปุ่มของรถยนต์ โดยไม่ต้องแตะมือถือเช่นกัน

  • 3rd Party Apps

ส่วนสุดท้ายคือ แอพจากผู้ผลิตอื่นๆ ที่รองรับ CarPlay ก็จะมาโชว์อยู่บนหน้าจอของรถยนต์เช่นกันครับ นอกเหนือจากไอคอน Ferrari ที่เป็นแอพของ Ferrari เองแล้ว ยังมีพวกแอพฟังวิทยุออนไลน์ หรือ Music Streaming ต่างๆ เช่น Deezer, Stitcher หรือ Spotify เป็นต้น

DSC00718

Wrap Up

ในโลกแห่งความจริง CarPlay (รวมถึง Android Auto) เป็นฟีเจอร์ที่ทำให้การขับรถ ในยุคของสมาร์ทโฟนครองเมืองแบบนี้ เป็นไปได้ด้วยความสะดวกมากขึ้น ไม่ต้องยุ่งยากต่อบลูทูธเพื่อใช้ฟังก์ชั่นโทรศัพท์ แถมต้องเสียบสาย USB เพื่อเอาเพลงจากในเครื่องมาฟัง หน้าจอของรถหลายรุ่นก็ไม่รองรับภาษาไทย ระบบนำทางก็ไม่สมบูรณ์อีก ต้องไปหา GPS Unit มาแปะกระจกเพิ่ม ซึ่งมันควรจะทำได้เสร็จสรรพแบบ Apple CarPlay นี่แหละ เสียบสายเส้นเดียว จบข่าว

แต่กว่าที่ผู้ผลิตรถยนต์ จะยอมใช้มาตรฐานเดียวกัน กว่าจะตกลงกัน กว่าจะผลิตรถยนต์ออกมาเป็นคันให้เราได้ใช้งานกัน ก็น่าจะต้องใช้เวลากันอีกเป็นปี (ทั้งๆ ที่ฟีเจอร์นี้เปิดตัวไปร่วม 2 ปีแล้ว) ปัจจุบันเลยเพิ่งจะได้เริ่มเห็นผลิตกันออกมาพร้อมใช้งานได้เพียงไม่กี่รุ่นเท่านั้น

จากการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม พบว่าผู้ผลิตรถยนต์บางค่าย ก็ยินดีที่จะใช้หน้าจอในรถรุ่นเดียวกันนี้ รองรับได้ทั้ง Apple CarPlay และ Android Auto นะครับ (แต่ Ferrari รุ่นนี้รองรับแค่ CarPlay อย่างเดียวก่อน) ดังนั้น ในอนาคต ก็เป็นไปได้ว่า เราจะสามารถใช้งานสมาร์ทโฟนร่วมกับระบบหน้าจอในรถยนต์ได้สะดวกขึ้นกว่าตอนนี้นั่นแล …

DSC00722

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save