
การเปิดตัว OnePlus 11 5G ในรอบนี้ แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจของ OnePlus กับจุดยืนในเรื่องของการเป็นสมาร์ทโฟนเรือธงตัวแรง ที่ก่อนหน้านี้หลายคนเคยประทับใจกับการเป็น ‘Flagship Killer’ ในการทำสมาร์ทโฟนประสิทธิภาพสูงระดับเรือธง ในราคาที่จับต้องได้
OnePlus 11 5G เตรียมวางจำหน่ายในไทย พร้อมประกาศราคาในวันที่ 14 ก.พ. นี้ โดยเบื้องต้น จะวางจำหน่ายด้วยกันทั้งหมด 2 รุ่น คือ OnePlus 11 5G 8/128 GB ในสี Titan Black และ OnePlus 11 5G 16/256 GB ในสี Eternal Green
ทีนี้ ลองไปดูกันถึง 5 จุดเด่น ที่ OnePlus จะทวงคืนความเป็นสมาร์ทโฟนเรือธงที่ผู้ใช้งานคิดถึง และเฝ้ารอกลับมาใช้งานกัน
1.จัดเต็มสเปกระดับท็อป Snapdragon 8 Gen 2

ในปีนี้ OnePlus จะไม่มีการแยกรุ่น Pro ออกมาเพื่อให้แบรนด์มีความชัดเจนมากขึ้น หลังจากที่เข้าไปทำงานร่วมกับทาง OPPO ในการแชร์เทคโนโลยีมาใช้งานกันอย่างใกล้ชิดมากยิ่งขึ้น ทำให้ ‘OnePlus 11 5G’ กลายเป็นแฟลกชิปที่เปิดตัวมาจับตลาดในช่วงต้นปี 2023 นี้
ชิปเซ็ตที่ OnePlus 11 5G เลือกใช้งานคือ Qualcomm Snapdragon 8 Gen 2 ที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นซีพียูรุ่นท็อปตัวแรงในกลุ่มสมาร์ทโฟน Android เวลานี้ โดยเฉพาะสำหรับสายที่นำใช้เล่นเกม เพราะรองรับ Ray Tracing และ Unreal Engine 5 ทำให้แสดงผลกราฟิกแสง และเงาได้มีความสมจริงมากยิ่งขึ้น
ในเรื่องของประสิทธิภาพ Snapdragon 8 Gen 2 ปรับปรุงขึ้นในทุกส่วนตั้งแต่การทำงานของ CPU ที่เร็วขึ้นจากรุ่นก่อนหน้า 35% ประหยัดพลังงานขึ้น 40% GPU เร็วขึ้นสูงสุด 25% บริหารจัดการพลังงานดีขึ้น 45% และที่ขาดไม่ได้คือการประมวลผลทางด้าน AI ที่เร็วขึ้นถึง 4.35 เท่า
2.จอ 6.7” 2K 120 Hz

เมื่อมีชิปเซ็ตที่สามารถรีดประสิทธิภาพของตัวเครื่องแล้ว จอแสดงผลเป็นอีกส่วนที่ทำให้การใช้งาน OnePlus 11 5G โดดเด่นมากขึ้น ด้วยหน้าจอ Super Fluid ขนาด 6.7 นิ้ว ความละเอียด 2K ที่รองรับ Refresh Rate 120 Hz แบบไดนามิกที่จะปรับอัตราการแสดงผลตามคอนเทนต์ที่ปรากฏบนหน้าจอ
ขณะเดียวกันตัวจอยังรองรับการแสดงผลสีระดับ 10Bit หรือ 1.07 พันล้านสี HDR10+ รวมถึง Dolby Vision ที่สามารถดึงรายละเอียดของคอนเทนต์ผ่านแอปฯ สตรีมมิ่งออกมาได้สมจริง โดยระบบเสียงที่ให้มายังรองรับ Dolby Atmos ด้วย
3.กล้องทำงานร่วมกับ Hasselblad

OnePlus ยังทำงานร่วมกับ Hasselblad ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 โดยใน OnePlus 11 5G มากับระบบกล้องหลัก 3 ตัว ประกอบด้วยเลนส์มุมกว้าง 48 MP ให้มุมมอง 115° ตามด้วยเลนส์ระยะปกติ 50 MP และเลนส์เทเลโฟโต้ 32 MP ที่ระยะ 2x เพื่อรองรับการถ่ายภาพโหมด Portrait
ความโดดเด่นของ Hasselblad ที่จะได้เห็นในรุ่นนี้ มีทั้งการเปรียบเทียบสีธรรมชาติ จากการวัดแสงที่แม่นยำ วิเคราะห์เฉดสี และปรับสมดุลแสงขาว ให้เหมาะสมเพื่อความสมจริงที่สุด รวมถึง Hasselblad Master กับโทนฟิลเตอร์ 3 สไตล์จากเหล่าช่างภาพมืออาชีพ
4.ชาร์จเร็ว 100W SUPERVOOC

การที่ OnePlus แชร์เทคโนโลยีร่วมกับ OPPO ทำให้มีการนำเทคโนโลยีการชาร์จเร็ว 100W SUPERVOOC มาใช้งานใน OnePlus 11 5G รุ่นนี้ด้วย จากก่อนหน้านี้ที่ OnePlus ใช้เทคโนโลยี Warp Charge แยกกัน โดยในรุ่นนี้จะรองรับการชาร์จเร็วที่สามารถชาร์จเต็ม 100% ภายใน 25 นาที
เรียกว่าเสียบชาร์จเปปเดียวใช้งานได้ตลอดวัน จากแบตเตอรี 5000 mAh และระบบระบายความร้อนที่เพิ่มขนาดของ Vapor Chamber และการนำวัสดุผลึกกราฟีนแบบใหม่ มาใช้ร่วมกับโครงสร้างกระจายความร้อนทำให้ดีกว่ารุ่นก่อนหน้าอย่างชัดเจน
5.ดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์

สุดท้าย แม้ว่า OnePlus 11 5G จะยังคงดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์เช่นเดียวกับใน OnePlus 10 Pro 5G แต่ก็มีการปรับปรุงเพิ่มเติมในส่วนของโมดูลกล้องที่เพิ่มความโค้งเข้าไปทำให้ตัวเครื่องดูมีมิติมากขึ้น โดยกระจกฝาหลังใช้เป็น Gorilla Glass 5 ที่มีความแข็งแรง
ส่วนสีตัวเครื่องจะมีให้เลือกในรุ่นเริ่มต้นคือ สีดำ Titan Black ที่เน้นความทรงพลัง และสีเขียว Eternal Green ที่สื่อให้เห็นถึงธรรมชาติ สะท้อนกับแสงจากผิวกระจกในแง่มุมต่างๆ โดยทั้ง 2 รุ่นมากับงานประกอบระดับพรีเมียมที่สมเป็นแฟลกชิป
*Disclosure: บทความนี้ได้รับการสนับสนุนจาก OnePlus*