คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรีเคาะมาตรการ EV ระยะที่ 2 หรือ EV 3.5 เงินอุดหนุนสูงสุดสำหรับรถยนต์และรถกระบะ 100,000 บาท/คัน รถจักรยานยนต์ 10,000 บาท/คัน เริ่มใช้อย่างเป็นทางการ 2 มกราคม 2567
โดยก่อนจะใช้มาตรการอย่างเป็นทางการ ทางบีโอไอ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กรมสรรพสามิต กรมศุลกากร กระทรวงอุตสาหกรรม และกระทรวงพลังงาน จัดประชุมชี้แจงกับค่ายผู้ผลิตยานยนต์กว่า 30 รายเข้าร่วมรับฟังมาตรการสนับสนุนและสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ
มาตรการ EV 3.5 นี้ ใช้ในช่วงระยะเวลา 4 ปี คือตั้งแต่ พ.ศ. 2567 – 2570 ครอบคลุมทั้งรถยนต์ไฟฟ้า รถกระบะไฟฟ้า และรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า
สิทธิประโยชน์ประกอบด้วย 3 ส่วน คือ เงินอุดหนุน การลดอัตราอากรขาเข้ารถยนต์สำเร็จรูป และการลดอัตราภาษีสรรพสามิต โดยเงินอุดหนุนจะเป็นไปตามประเภทของรถ และขนาดของแบตเตอรี่ ดังนี้
กรณีรถยนต์ไฟฟ้าราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท ที่มีขนาดแบตเตอรี่ตั้งแต่ 50 kWh จะได้รับเงินอุดหนุน 100,000 บาท/คันในปีที่ 1, 75,000 บาท/คันในปีที่ 2 และ 50,000 บาท/คันในปีที่ 3-4
สำหรับรถที่มีขนาดแบตเตอรี่ต่ำกว่า 50 kWh จะได้รับเงินอุดหนุน 50,000 บาท/คันในปีที่ 1, 35,000 บาท/คันในปีที่ 2 และ 25,000 บาท/คันในปีที่ 3-4
รถกระบะไฟฟ้าราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท ที่มีขนาดแบตเตอรี่ตั้งแต่ 50 kWh จะได้รับเงินอุดหนุน 100,000 บาท/คัน ตลอดระยะเวลา 4 ปี เฉพาะส่วนที่ผลิตในประเทศ
กรณีรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าราคาไม่เกิน 150,000 บาท ที่มีขนาดแบตเตอรี่ตั้งแต่ 3 kWh จะได้รับเงินอุดหนุน 10,000 บาท/คัน ตลอดระยะเวลา 4 ปี เฉพาะส่วนที่ผลิตในประเทศ
ส่วนการลดภาษีสำหรับค่ายรถยนต์ ภายใต้ EV 3.5 จะมีการลดอากรขาเข้าไม่เกินร้อยละ 40 สำหรับการนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าสำเร็จรูป (CBU) ที่มีราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท ในช่วง 2 ปีแรก (พ.ศ. 2567 – 2568) และลดอัตราภาษีสรรพสามิตจากร้อยละ 8 เหลือร้อยละ 2 สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าราคาไม่เกิน 7 ล้านบาท
โดยได้กำหนดเงื่อนไขการลงทุนในประเทศแบบชดเชยการนำเข้าภายในปี 2569 ในอัตราส่วน 1 : 2 (นำเข้า 1 คัน ผลิตชดเชย 2 คัน) และจะเพิ่มอัตราส่วนเป็น 1 : 3 ในปี 2570
ภายใต้มาตรการ EV3.5 คาดว่าจะมียานยนต์ไฟฟ้าที่ได้รับการสนับสนุนตลอดระยะเวลา 4 ปี จำนวนประมาณ 830,000 คัน โดยแบ่งเป็นรถยนต์ไฟฟ้า 454,000 คัน รถจักรยานยนต์ไฟฟ้า 346,000 คัน และรถกระบะไฟฟ้า 30,000 คัน โดยคาดว่าจะใช้งบประมาณจำนวน 34,000 ล้านบาท ตลอดระยะเวลา 4 ปี