- เปลี่ยนคอมม์ รับ ‘Net Zero’ สิ่งใหม่ที่ภาคธุรกิจต้องใส่ใจ
- Microsoft เจาะตลาดองค์กรรักษ์โลก Surface ช่วยลดการปล่อยคาร์บอน
- ตามดูขั้นตอนก่อนจะเป็น ‘Surface Pro’ ที่ผลิตบนแนวคิดเพื่อความยั่งยืน
คนจำนวนมากเชื่อมโยงชื่อของ Bill Gates ผู้ก่อตั้งและหนึ่งในบอร์ดบริหารของ Microsoft เข้ากับกิจกรรมด้านสิ่งแวดล้อมที่เขาทำมาอย่างยาวนานต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกิจกรรมที่เกี่ยวกับการรับมือปัญหาสภาพอากาศเปลี่ยน เขาไม่ได้แค่ทุ่มเงินไปกับการบริจาคเพื่อมูลนิธิต่างๆ เท่านั้น แต่ยังได้เสาะแสวงหาข้อมูลความรู้จากผู้เชี่ยวชาญแล้วรวบรวมออกมาเป็นโซลูชันเพื่อนำเสนอต่อคนทั่วโลกว่าเราจะทำอย่างไรจึงจะไปถึงเป้าหมายของ Net Zero หรือการปล่อยก๊าซคาร์บอนเป็นศูนย์ได้ ผ่านหนังสือเรื่อง “How to Avoid a Climate Disaster” ซึ่งใจความสำคัญของสิ่งที่เขาเขียนก็คือไม่ว่าจะเป็นรัฐบาล องค์กรน้อยใหญ่ หรือประชาชนทั่วไป จำเป็นต้องช่วยกันลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกด้วยการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของเราในด้านต่างๆ ทั้งการผลิตสิ่งของ การทำการเกษตร การเดินทาง และการทำความร้อนกับความเย็น
Microsoft กับเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมอันยิ่งใหญ่
ถึงแม้ว่า Bill Gates จะส่งมอบตำแหน่งหัวเรือใหญ่ให้กับผู้บริหารคนอื่นเข้ามาดูแล Microsoft นานหลายปีแล้ว แต่ดีเอ็นเอของความใส่ใจสิ่งแวดล้อมก็เป็นสิ่งที่หยั่งรากลึกภายในองค์กรของ Microsoft โดยสะท้อนออกมาให้เห็นผ่านการประกาศบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนให้ได้ภายในปี 2030
นับเป็นเป้าหมายที่ท้าทายสำหรับบริษัทที่อยู่ในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีซึ่งต้องผลิตทั้งซอฟท์แวร์และฮาร์ดแวร์เพื่อป้อนให้กับผู้บริโภคทั่วโลกในยุคที่การทำงานของทุกคนเกิดขึ้นบนโลกดิจิทัล ผ่านเครื่องมืออย่างคอมพิวเตอร์ แท็บเล็ต และสมาร์ทโฟน ที่กลายเป็นอุปกรณ์ที่ขาดไม่ได้ และบริษัทผู้ผลิตจำนวนนับไม่ถ้วนต่างแข่งขันกันผลิตสินค้าให้ต้นทุนถูกที่สุดเพื่อดึงดูดใจผู้บริโภค
หากผู้บริโภคทุกคนตัดสินใจเลือกซื้ออุปกรณ์ดิจิทัลบนพื้นฐานของราคาที่ถูกที่สุดในสเป็กที่สูงที่สุด เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนก็คงยากที่จะเกิดขึ้น แต่ข่าวดีก็คือเราได้เห็นแนวโน้มของเทรนด์ผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปโดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ให้ความสำคัญกับเรื่องราวเบื้องหลัง ที่มาที่ไป และผลกระทบของสินค้าที่พวกเขาเลือกซื้อมาใช้มากขึ้น
นอกเหนือจากความคุ้มค่าของสินค้าทั้งด้านราคาและประสิทธิภาพแล้ว คนรุ่นใหม่เลือกใช้ผลิตภัณฑ์และบริการที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด เพราะผู้บริโภคกลุ่มนี้ให้ความสำคัญกับความยั่งยืน การดูแลโลกใบที่พวกเขาต้องอาศัยอยู่ไปอีกนาน ไปจนถึงการสร้างตัวตนของตัวเองให้เข้มแข็งด้วยการยืนหยัดในหลักการที่พวกเขามองว่าถูกต้อง
ปัจจัยที่ต้องคำนึงถึงในการเลือกซื้อสินค้าอย่างคอมพิวเตอร์สักเครื่องจึงถูกปรับเปลี่ยนใหม่ หาก ‘ที่มา’ ของคอมพิวเตอร์เครื่องนั้นๆ ไม่มีกระบวนการที่ยั่งยืน ลูกค้ากลุ่มนี้ก็อาจจะไม่หยิบมาใส่ตะกร้าช้อปปิ้งตั้งแต่แรก
Microsoft ที่ถือว่าเดินหน้านำเทรนด์นี้มาได้สักระยะแล้ว นอกจากจะตั้งเป้าการปล่อยคาร์บอนเป็นลบภายในปี 2030 ก็ยังผลักดันให้เกิดเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น Microsoft ตั้งใจไว้ว่าจะกำจัดคาร์บอนในปริมาณที่เทียบเท่ากับคาร์บอนทั้งหมดที่เคยปล่อยสู่สภาพแวดล้อมตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทเมื่อปี 1975 ให้ได้ภายในปี 2050!
หนึ่งในความพยายามล่าสุดที่จะเดินตามเป้าหมายทางสิ่งแวดล้อมที่วางไว้ก็คือสิ่งที่ Microsoft ทำกับไลน์อัพผลิตภัณฑ์อย่าง Surface ภายใต้โจทย์ว่าทำอย่างไรให้กระบวนการผลิตสินค้าเป็นมิตรสิ่งแวดล้อมตั้งแต่ต้นจนจบ ทั้งบรรจุภัณฑ์ กระบวนการขนส่งไปถึงมือลูกค้า ผลิตภัณฑ์มีประสิทธิภาพสูง ประหยัดพลังงาน และเมื่อหมดอายุขัยการใช้งานแล้วจะต้องสามารถนำไปรีไซเคิลได้ด้วย
เลี่ยงไม่ได้ว่าถ้าหาก Microsoft ต้องการจะได้ทั้งหมดที่พูดมา ต้นทุนก็จะต้องเพิ่มสูงขึ้นและจะไปสะท้อนอยู่ในราคาขายที่แพงกว่าคู่แข่งในที่สุด แม้ว่าผู้บริโภคทั่วไปอาจจะยังไม่พร้อมที่จะควักเงินในกระเป๋าเพิ่มขึ้นเพื่อสิ่งต่างๆ เหล่านี้ แต่ผู้บริโภคระดับองค์กร หรือ Enterprise ที่มีเป้าหมายในการลดการปล่อยคาร์บอนและทำธุรกิจแบบยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเหมือนกันจะต้องเห็นความสำคัญแน่นอน เช่นเดียวกับผู้บริโภคเจเนเรชันใหม่ที่มองว่าการจ่ายเงินเพิ่มเพื่อให้ได้มาซึ่งผลิตภัณฑ์ที่ยังคงใช้งานได้ดีเยี่ยมและอ่อนโยนต่อโลกมากขึ้นเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า
แล้วองค์กรจะรู้ได้อย่างไรว่า การเปลี่ยนมาใช้ Surface แล้วจะช่วยลดปริมาณการปล่อยคาร์บอนลงไปเท่าไหร่ จริงๆ Microsoft มีเครื่องมืออย่าง Microsoft Surface Emissions Estimator ที่ช่วยคาดการณ์การปล่อยคาร์บอนที่เกิดขึ้นตั้งแต่ขั้นตอนการสรรหาวัตถุดิบ กระบวนการผลิต การขนส่ง ระหว่างการใช้งาน จนถึงการนำกลับไปรีไซเคิล ให้เราได้เห็นภาพชัดเจนขึ้น ถ้าองค์กรไหนที่ใช้ Surface อยู่แล้วก็สามารถติดต่อทาง Microsoft เพื่อเข้าถึงรายงานนี้ได้เช่นกันผ่านอีเมล surfacecommth@microsoft.com
ทีนี้ลองดูตัวอย่างของ Surface Pro 9 5G คิดตามอายุการใช้งานเครื่องเฉลี่ยที่องค์กรทั่วไปจะมีการเปลี่ยนเครื่องใหม่อยู่ที่ราว 4 ปีครึ่ง Microsoft Surface มีการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า 44 kg เหตุผลสำคัญที่ทำให้ Microsoft มั่นใจเนื่องมาจาก ตัว Surface Pro 9 5G นั้นใช้พลังงานต่ำกว่าค่ามาตรฐานที่ทาง Energy Star กำหนดไว้ถึง 71%
นอกจากนี้ ถ้าดูทั้ง Lifecycle มี Lifecycle carbon footprint เพีบง 196 kg Co2eq โดยหลักจะอยู่ในส่วนของขั้นตอนการผลิตกว่า 170 kg Co2eq ตามด้วยคาร์บอนที่ปล่อยระหว่างการใช้งาน 25 kg Co2eq การขนส่ง 1 kg Co2eq และกระบวนการรีไซเคิลต่ำกว่า 1 kg Co2eq
เหตุผลที่ Microsoft สามารถลดปริมาณการปล่อยคาร์บอนฯ เกิดขึ้นตั้งแต่ขั้นตอนของการออกแบบตัวเครื่องให้สามารถซ่อมง่ายขึ้น เพื่อยืดอายุการใช้งานผลิตภัณฑ์ให้ยาวนานขึ้น ปรับปรุงขั้นตอนการขนส่งให้มีประสิทธิภาพมากที่สุดตามดีมานด์ของลูกค้า พร้อมเพิ่มทางเลือกในการจัดส่งสินค้าแบบปลอดคาร์บอน หรือแม้แต่การปรับปรุงการอัปเดตระบบปฏิบัติการ Windows 11 ให้คำนวณช่วงเวลาในการอัปเดตอัตโนมัติ และจะเลือกอัปเดตในเวลาที่การใช้พลังงานส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด อย่างช่วงเวลากลางคืน เป็นต้น
หลายคนอาจจะตั้งคำถามตามมาว่า เมื่อใช้พลังงานต่ำลงเพื่อไม่ให้เกิดการสร้างคาร์บอนฟุตพรินท์แล้วจะส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพของตัวเครื่องหรือไม่ แน่นอนว่าด้วยเทคโนโลยีของชิปประมวลผลยุคใหม่ที่ผลิตขึ้นให้ใช้พลังงานต่ำลงแต่ได้ประสิทธิภาพในการประมวลผลสูงขึ้น ได้เข้ามาช่วยคลายข้อสงสัยในจุดนี้ไปได้ ทำให้มั่นใจได้ว่าตัวเครื่องที่ผลิตมาเพื่อความยั่งยืนจะยังตอบโจทย์การใช้งานเช่นเดิม เสริมด้วยเรื่องของการนำไปใช้งานบนแบตเตอรี่นอกสถานที่ได้ทุกที่ทุกเวลาได้ยาวนานขึ้นด้วย
Surface Pro 9 5G รับการทำงานในยุคไฮบริด
คอมพิวเตอร์ Surface ไลน์อัปล่าสุดได้ถูกพัฒนาให้สอดรับกับการทำงานในยุค Hybrid Work มากยิ่งขึ้น เนื่องจาก Microsoft มองว่าเป็นเทรนด์ที่เกิดขึ้นและจะคงอยู่ตลอดไป ทำให้ปัจจุบันการใช้งานคอมพิวเตอร์พกพาไม่ได้สำหรับทำงานเพียงอย่างเดียว แต่เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการสนทนา ประชุมกับเพื่อนร่วมงานด้วย
Surface Pro 9 5G จึงใช้ชิป Microsoft SQ 3 บนสถาปัตยกรรม ARM ซึ่งมีการแยก NPU ออกมาช่วยในการประมวลผล โดย Neural Processing Unit กลายเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ประสบการณ์ใช้งานในลักษณะของ Hybrid Work ดีขึ้น ด้วยการเข้าไปยกระดับของกล้อง และไมโครโฟนให้ดีมากกว่าเดิม
การทำงานของกล้องเว็บแคม นอกจากจะใช้ NPU มาช่วยวิเคราะห์ในการเบลอภาพพื้นหลังแล้วยังมีระบบในการติดตามใบหน้าช่วยปรับขนาดเฟรมภาพให้เหมาะสม หรือในกรณีที่มีเพื่อนเข้ามาร่วมประชุมด้วยเฟรมภาพของกล้องเว็บแคมก็จะถูกขยายออกอัตโนมัติ ในขณะที่ไมโครโฟน NPU ช่วยในเรื่องของการตัดเสียงรบกวนที่เกิดขึ้นรอบตัว และช่วยดึงให้เสียงพูดชัดเจนมากขึ้นทำให้การประชุมมีความลื่นไหลมากที่สุด
ความน่าสนใจของ Surface Pro 9 5G ยังอยู่ที่รูปแบบการใช้งาน ที่ตัวเครื่องมากับหน้าจอทัชสกรีนขนาด 13 นิ้ว ความละเอียดสูงระดับ 2K โดยที่น้ำหนักตัวเครื่องไม่ถึง 1 กิโลกรัม สามารถใช้งานต่อเนื่องบนแบตเตอรีได้ 19 ชั่วโมง รวมถึงในแง่ของการรักษาความปลอดภัยจาก Windows Hello ที่ใช้ระบบยืนยันตัวตนในการล็อกอินใช้งานด้วย
นอกจากนี้ ยังมีโซลูชันเพิ่มเติมให้ฝ่ายไอทีสามารถดูแลและบริหารจัดการอุปกรณ์ได้สะดวกขึ้น ลดขั้นตอนการทำงานในการติดตั้งโปรแกรมพื้นฐานต่างๆ จนถึงการจำกัดสิทธิ์ในการใช้งานบางฟีเจอร์ สั่งรีโมทเพื่อลบข้อมูลในกรณีที่เครื่องหาย เพื่อรักษาความปลอดภัยของข้อมูลในตัวเครื่อง
สรุป
ในยุคที่เทรนด์โลกไปในทิศทางเดียวกันคือการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอุปโภค บริโภค ของมนุษย์เราอย่างไรให้เป็นมิตรและอ่อนโยนต่อสิ่งแวดล้อมมากที่สุด การผลิตสินค้าออกขายจึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องคำนึงถึงเรื่องนี้ ด้วยเทคโนโลยีที่ก้าวหน้า เราไม่จำเป็นต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งระหว่างคุณภาพของสินค้าและระดับความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเพราะทั้งสองอย่างนี้สามารถไปด้วยกันได้ ในฐานะผู้บริโภค เราไม่ต้องรอให้องค์กรใหญ่ๆ หรือบุคคลสำคัญเป็นคนเริ่มลงมือทำเท่านั้น แต่สิ่งที่เราสามารถทำได้เลยก็คือการถามผู้ผลิตและถามตัวเองว่า “คอมพิวเตอร์เครื่องใหม่ที่เรากำลังจะซื้อยั่งยืนแค่ไหน”
ใครที่สนใจเรื่องราวของ Microsoft กับการใช้ Surface มาสร้างความยั่งยืนให้องค์กรธุรกิจสามารถเข้าไปดูได้ที่ Surface: Our path to a more sustainable future
ติดต่อเพื่อขอข้อมูลเพิ่มเติม
E- mail : surfacecommth@microsoft.com
FB Chat : aka.ms/ContactMSFTTH
Website : คอมพิวเตอร์และแล็ปท็อปสำหรับธุรกิจ – Microsoft Surface สำหรับธุรกิจ
*Disclaimer: บทความนี้ได้รับการสนับสนุนจาก Microsoft*