สวัสดีจาก Miami ครับ มากันแบบ Exclusive อีกเช่นเคยนะครับ ผมมาด้วยคำเชิญของ MINI เพื่อร่วมงานเปิดตัว ‘MINI Electric’ รถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% รุ่นแรกที่จะทำออกมาจำหน่ายภายใต้แบรนด์ MINI ครับ และที่สำคัญคือ เจ้า MINI Electric คันนี้ จะถูกนำเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยอย่างเป็นทางการในช่วงต้นปี 2020 นี้เลยด้วย
พูดถึงรถ MINI คงไม่ต้องเกริ่นอะไรกันมากมายนะครับ ด้วยรูปทรงที่เป็นเอกลักษณ์ และทำให้แฟนๆ มินิทั่วโลกหลงรักมาอย่างยาวนานถึง 60 ปี ที่ไม่ได้มีดีแค่หน้าตา แต่แบรนด์มินิ ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า เป็นรถที่มีความเอนกประสงค์มาก คล่องตัวบนท้องถนน แถมยังขับสนุก แต่งให้สปอร์ตได้เต็มที่ และเหนือชั้นในระดับเวทีการแข่งขันโลก จนสามารถคว้าแชมป์แรลี่รายการหินๆ มาแล้วทั้ง Monte Carlo Rally และ Dakar Rally ด้วย
ล่าสุด มินิ ภายใต้หลังคาของ BMW Group ก็ต้องเดินหน้าสู่เทรนด์ยานยนต์ของโลก ด้วยการพัฒนารถยนต์ที่ไม่ปล่อยมลภาวะสู่อากาศ ด้วยการให้พลังงานไฟฟ้าเข้ามามีบทบาท อย่างที่เราได้เห็นกับรถยนต์รุ่นอื่นๆ มาแล้วเช่นกัน แต่ความโชคดีของมินิ คือการที่ BMW Group ได้เริ่มพัฒนาชุดขับเคลื่อนพลังงานไฟฟ้ามานานนับสิบปีแล้ว และได้นำประสบการณ์และเทคโนโลยีจากแบรนด์ BMW i โดยเฉพาะในรุ่น BMW i3 รถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% รุ่นแรกของ BMW ที่วางจำหน่ายตั้งแต่ปี 2013 เข้ามาพัฒนาให้มันมาอยู่ในร่างของรถ MINI โฉมปัจจุบันได้อย่างลงตัวที่สุด ที่ผมจะพามาขับในวันนี้นี่แหละครับ
แท้จริงแล้ว นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ MINI พยายามนำชุดขับเคลื่อนพลังงานไฟฟ้า 100% เข้ามาอยู่ในรถ MINI Hatchback นะครับ แต่ในโฉมก่อนหน้า ในปี 2008 โปรเจค MINI E ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อใช้ในการทดสอบเพียงอย่างเดียวเท่านั้น และมินิเองก็ได้ศึกษามามากเพียงพอจนออกมาเป็น MINI Electric ที่เปิดตัวในวันนี้
MINI เปิดตัวเจ้า MINI Electric ในโฉมของรหัส F56 นี้ ในชื่อรุ่นอย่างเป็นทางการว่า MINI Cooper SE ครับ (เติมตัว E ต่อท้ายไปใน Cooper S ที่เราคุ้นเคยกันในตลาดปัจจุบัน) โดยคงเอกลักษณ์ของรูปทรงภายนอกแบบ MINI Hatch สามประตูโฉมปัจจุบันแทบทุกประการครับ จนเรียกได้ว่า ถ้าไม่ได้ติดตามข่าวจริงๆ ก็ไม่มีใครดูออกเลยว่า นี่เป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% โดยมินิ เลือกใช้ทริมสีเหลือง ในการสะท้อนภาพของการใช้พลังงานสะอาด ในการตกแต่งเจ้า MINI Electric คันนี้โดยรวมรอบคัน ในขณะที่หลายๆ แบรนด์เลือกใช้สีฟ้าเป็นหลัก ผมว่าดูเท่และเป็นเอกลักษณ์ดีนะ
การออกแบบ
ส่วนที่โดดเด่นที่สุดจากภายนอก คือบริเวณกระจังหน้าทรงหกเหลี่ยม ที่เดิมเป็นช่องระบายอากาศ ได้ถูกปิดทึบ และคาดด้วยเส้นสีเหลือง กับโลโก้ตัว E ที่มินิออกแบบมาได้อย่างเฉียบขาด หากมองเฉพาะส่วนสีเงิน เราจะเห็นเป็นตัว E และหากมองเฉพาะส่วนสีเหลือง เราจะเห็นเป็นรูปปลั๊กไฟ สวยอย่างมีสไตล์ครับ ส่วนสกู้ปดักลมบนฝากระโปรง ก็มีไว้เพื่อการตกแต่ง 100% ตามดีไซน์ของฝากระโปรงรุ่น Cooper S ของมินิ ไม่ได้เป็นช่องระบายอากาศจริงแต่อย่างใด
ด้านข้างของตัวรถ ส่วนที่เด่นมากจนสะดุดตาหลายคน คือล้ออัลลอยรูปทรงแปลกตาครับ นี่คือล้อลายใหม่ขนาด 17 นิ้ว ในชื่อลาย Corona Spoke 2-tone (ชื่อเหมือนไวรัสที่กำลังระบาดนี่เลย) โดยเป็นครั้งแรกที่มินิออกแบบล้อรถยนต์แบบ “อสมมาตร” หรือ Asymmetrical Design และใช้ลวดลายที่ผสมผสานระหว่างความล้ำยุค เทคโนโลยี และการใช้งานจริงเช้าด้วยกัน แม้ดีไซน์จะไม่สมมาตร แต่การกระจายน้ำหนักยังคงเท่ากันทั้งวง ตัดกับทริมสีเหลืองล้อมรอบได้แบบโดดเด่นเลยครับ
ส่วนบริเวณ Side Scuttle ก็ปรับมาใช้โลโก้ตัว E เช่นกัน และตำแหน่งของฝาถังน้ำมันเดิม ก็ถูกปรับมาเป็นช่องเสียบชาร์จแบตเตอรี่ เพื่อไม่ให้กระทบกับดีไซน์เดิมของตัวรถ แถมบริเวณฝาถังยังฝังเอาโลโก้ตัว E เข้าไปแบบนูนๆ ด้วย
ย้ายมาที่ท้ายรถครับ MINI Cooper SE ยังคงเอกลักษณ์ของ MINI โฉมปัจจุบันมาครบทุกส่วน โดยเฉพาะไฟท้ายลวดลาย Union Jack , มือจับฝากระโปรงท้ายที่ใช้ทริมคนละสีกับตัวถัง แต่มีส่วนที่อย่างให้ดูเพิ่มเติม คือโลโก้ Cooper S นั้น มีการเปลี่ยนตัว S ที่ปกติจะเป็นสีแดง มาเป็นสีเหลืองแทน เพื่อบ่งบอกว่านี่คือ Cooper S พลังงานไฟฟ้านะ และมีโลโก้ตัว E อยู่อีกฝั่งหนึ่งของฝากระโปรงท้าย
และแน่นอนครับ ไม่มีท่อไอเสีย รถคันนี้มีค่ามลภาวะเป็นศูนย์
มินิ ได้ทำการทดแทนเครื่องยนต์สันดาป ในฝากระโปรงหน้า ด้วยชุดมอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูงถึง 135kW หรือเทียบเท่าความแรง 184 แรงม้า (ซึ่งมันคือความแรงระดับ Cooper S เลย) มีจุดเด่นที่อัตราเร่งจาก 0-100km/h ได้ในระยะเวลาเพียง 7.3 วินาที และเคลมตัวเลขแรงบิดที่ 270Nm ที่มาตั้งแต่รถหยุดนิ่ง กระชากออกตัวได้แบบแรงสะใจสไตล์รถยนต์ไฟฟ้า โดยรถรุ่นนี้ ยังคงขับเคลื่อนล้อหน้าตามเอกลักษณ์ของมินิเช่นเดิมด้วย
ส่วนของแบตเตอรี่ มินิได้ออกแบบให้อยู่บริเวณใต้ท้องรถ แบ่งออกเป็นทั้งหมด 12 โมดูล เรียงกันเป็นตัว T ตั้งแต่แกนกลางของรถ ไปจนถึงหัวตัว T ที่อยู่ใต้เบาะที่นั่งแถวหลัง มีความจุแบตเตอรี่อยู่ที่ 93.2Ah / 32.6kWh เคลมระยะทางการวิ่งได้ราว 235-270km ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง และตัวรถมีน้ำหนักรวม 1,365kg ซึ่งหนักกว่า MINI Cooper S รุ่นเครื่องยนต์สันดาปปกติเพียง 145kg เท่านั้น แต่ที่สำคัญคือ ตัวแบตเตอรี่ที่มีน้ำหนักมาก อยู่บริเวณฐานของตัวรถ ส่งผลให้จุดศูนย์ถ่วงหรือ CG (Center of Gravity) ของตัวรถ อยู่ต่ำกว่า Cooper S ปกติถึง 30mm (ไม่น้อยนะครับ) ทำให้รถเกาะถนนกว่าเดิม ขับสนุกกว่าเดิม เข้าโค้งได้อย่างมั่นใจ ตอกย้ำคาแรคเตอร์การขับขี่แบบ Go-kart feeling ได้มากกว่าเดิม
เปิดฝากระโปรงท้ายบ้าง บอกเลยว่า มินิทำให้ผมประหลาดใจมากครับ เพราะพื้นที่สัมภาระท้ายรถ ไม่ถูกบดบังหรือลดทอนลงไปเลย ยังมีฝาท้ายที่ลึก และเก็บของได้เทียบเท่า MINI ในรุ่นเครื่องยนต์ปกติทุกอย่าง มีความจุ 211 ลิตรเท่าเดิม ใส่กระเป๋าเดินทางใบใหญ่ได้อย่างที่เห็น อันนี้ทีมวิศวกรและทีมออกแบบทำได้ยอดเยี่ยมมากๆ ครับ
ดูภายนอกกันไปแล้ว มาต่อกันที่ภายในนะครับ ห้องโดยสารของ MINI Cooper SE มีความใกล้เคียงกับ MINI โฉมปัจจุบันอย่างมากครับ ยกเว้นบางส่วนเท่านั้น คือ หน้าปัดหลังพวงมาลัย ที่เปลี่ยนมาเป็นหน้าจอดิจิทัล 100% แล้ว โดยนี่เป็นรถมินิรุ่นแรกที่ใช้หน้าปัดแบบดิจิทัล 100% แสดงข้อมูลความเร็ว ปริมาณแบตเตอรี่ที่เหลือ และข้อมูลการขับขี่ต่างๆ ได้ยืดหยุ่นกว่าเดิม
ส่วนที่สองที่แตกต่างออกไป คือการเปลี่ยนมาใช้เบรกมือไฟฟ้าทดแทนเบรกมือปกติ เพื่อประหยัดพื้นที่และความล้ำสมัยของตัวรถ
และส่วนสุดท้ายคือเบาะที่นั่งแถวหลังที่มีรูปทรงเปลี่ยนไปเบาะมีความลึกขึ้นแต่อยู่ตำแหน่งสูงขึ้นเพื่อให้พื้นที่กับแบตเตอรี่ด้านใต้ครับคนตัวสูงหน่อยอาจจะนั่งหังไม่ถนัดเท่าเดิมเป็นข้อจำกัดที่ต้องแลกกันไป
ทริมภายในตัวรถยังเลือกใช้สีเหลืองเป็นหลักครับปุ่ม Start/Stop เปลี่ยนเป็นสีเหลือง เช่นเดียวกับส่วนอื่นๆ ของตัวรถ เช่นหัวเกียร์ที่มีแถบสีเหลืองตกแต่งเพิ่มเติมเข้ามา
ทดลองขับ
ผมเริ่มทริปทดสอบนี้ ในตัวเมือง Miami ไปยัง Fort Lauderdale เลียบชายหาดที่สวยงามของไมอามี่แบบความเร็วต่ำ และกลับมาที่เดิมด้วยเส้นทางไฮเวย์ในตัวเมืองด้วยย่านความเร็วที่สูงขึ้น ใช้เวลารวมประมาณ 3 ชั่วโมงเศษในการทดสอบ MINI Cooper SE ในวันนี้ครับ
ทันทีที่เท้ากดแป้นเบรกและมือกดปุ่ม Start สีเหลือง ตัวรถก็ทักทายเราด้วยเสียงสตาร์ทที่ล้ำยุคมากๆ (ตามไปฟังกันในคลิปทดสอบนะครับ) ให้ความรู้สึกราวกับสตาร์ทยานอวกาศเลยล่ะครับ และตามมาด้วยความเงียบกริบ มีเพียงเสียงลมจากช่องแอร์ให้เราได้ยินเท่านั้น เป็นอันพร้อมที่จะออกเดินทาง
ก่อนพูดถึงการขับขี่ ต้องพูดถึงระบบ Recuperation หรือ Brake Regerenation ในรถยนต์ไฟฟ้ากันก่อนครับ ระบบนี้จะมีอยู่ในรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% แทบทุกรุ่นเลย นั่นคือ ตัวรถจะพยายามแปลงเอาพลังงาน Kenetic ที่หลงเหลือจากการขับขี่ ย้อนกลับไปเป็นพลังงานเพื่อชาร์จแบตเตอรี่ให้ได้มากที่สุด เพื่อใช้พลังงานทุกช่วงเวลาอย่างคุ้มค่าครับ และ MINI Cooper SE ก็มาพร้อมกับระบบ Recuperation นี้เช่นกัน แถมยังเป็นรถรุ่นแรกของ BMW Group ที่มีตัวเลือกของ Recuperation ให้เราปรับได้ถึง 2 เลเวลด้วย
โหมดมาตรฐานของ Recuperation ในรถมินิคันนี้ จะเป็นโหมด High ครับ ที่จะทำให้เราขับรถคันนี้ได้ด้วยแป้นคันเร่งเพียงแป้นเดียว เพราะหากเราถอนคันเร่งขึ้นมา ตัวรถจะดึงเอาพลังงานที่เหลือทั้งหมด ย้อนกลับไปชาร์จแบตเตอรี่ ฉุดแรงเคลื่อนตัวรถลงมาจนหยุดนิ่ง ค่อยๆ ช้าลงราวกับการกดแป้นเบรก ที่มีข้อดีคือ เราสามารถขับรถในสถานการณ์ปกติเกือบทั้งหมดได้ด้วยการใช้แป้นคันเร่งเพียงแป้นเดียว ไม่ต้องย้ายเท้าจากคันเร่งไปที่เบรกเลย แถมไม่สูญเสียพลังงานในระหว่างขับขี่อีกด้วย แต่โหมดนี้ต้องอาศัยความคุ้นเคยสักหน่อยครับ ขับไปสักพักก็จะเริมรู้จังหวะว่าต้องเลี้ยงคันเร่งแบบไหน ผ่อนแค่ไหนให้เหมาะกับสถานการณ์ในช่วงเวลานั้นๆ แล้วเราก็จะขับได้เนียนขึ้น ไม่กระชากหวือหวาหรือมีแรงฉุดจนหัวทิ่มแบบช่วงแรกๆ
หรือถ้าใครไม่คุ้นเคยจริงๆ ก็ต้องปรับเป็นโหมด Low ครับ โหมดนี้มีมีกำลังฉุดที่น้อยลงอย่างมาก ค่อนข้างใกล้เคียงกับการขับรถยนต์ปกติเลย แต่ก็จะเปลืองแบตเตอรี่มากกว่าโหมดแรกหน่อย อันนี้แล้วแต่ความชื่นชอบในการขับของแต่ละคนนะครับ
ในเรื่องความแรง MINI Cooper SE ต้องบอกว่า นี่เป็นรถที่แรงมากนะครับ อานิสงส์ของมอเตอร์ไฟฟ้าทำให้เราออกตัวได้กระชากหลังติดเบาะสะใจมากๆ จังหวะเร่งแซงเฉียบขาดมาก บวกกับความคล่องตัวของรถรูปทรงแบบนี้ ถ้าขับในถนนที่คุ้นเคยกว่านี้ ทำให้คนขับเสียนิสัยได้ไม่ยากเลยครับ แต่มันคือช่วงเร่งออกตัวทั่วไปนะครับ ไม่สามารถสู้ความเร็วปลายกับรถยนต์ปกติได้แน่นอน โดยตัวเลขความเร็วสูงสุดที่มินิเคลมไว้คือ 150km/h เท่านั้น (ผมไม่ได้ทดลองนะครับ เพราะ Speed Limit ที่รัฐฟลอริด้านี่เข้มงวดมาก)
ความน่าประหลาดใจคือ หลังจากที่ผมขับได้สักพัก ผมเริ่มลืมครับ ว่านี่คือรถยนต์พลังงานไฟฟ้า เพราะมินิ เซ็ตอัพช่วงล่างมาได้ใกล้เคียงกับมินิรุ่นเครื่องยนต์ปกติโฉมปัจจุบันมากๆ มีความแข็งกระด้าง กระแทกกระทั้น ซิ่งได้ดั่งใจ พวงมาลัยคมกริบ จนหาความแตกต่างจากมินิรุ่นปกติได้ค่อนข้างยากในหลายๆ ช่วงเวลาของการขับเลย ยกเว้นในย่านความเร็วต่ำ ที่จะมีความเงียบของชุดมอเตอร์ไฟฟ้ามาคอยเตือนเราว่า เรากำลังขับแบบไร้มลพิษกันอยู่
ความตั้งใจในการเซ็ตความรู้สึกให้เหมือนกับมินิปกตินี้ มันชัดเจนมากจนผมเชื่อว่าแฟนๆ มินิจะยอมรับกับชุดขับเคลื่อนพลังงานไฟฟ้าได้ไม่ยากเลยครับ แต่ใครที่คาดหวังหรือมองหารถมินิที่นั่งสบายหน่อย ขับสบายหน่อย ก็อาจจะผิดหวังบ้าง เพราะนี่เป็นมินิอีกรุ่น ที่คนขับน่ะสนุก แต่คนนั่งจะบ่นยับถึงความกระด้างเหมือนเดิมแหละครับ
โหมดการขับขี่ของ MINI Cooper SE มีทั้งหมด 4 โหมดนะครับ เพิ่มเติมจาก 3 โหมดในรุ่นปกติ คือ Sport , Mid , Green และโหมดใหม่คือ Green+ ที่ผมไม่แนะนำโหมดใหม่ในบ้านเราเท่าไหร่ เพราะจะเป็นโหมดที่ประหยัดพลังงานแบบสุดๆ ปิดไม่ให้แอร์ทำงาน และใ้ไฟจากแบตอย่างประหยัดที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เผื่อในกรณีฉุกเฉิน แบตใกล้หมดจริงๆ ก็เลือกเปิดโหมดนี้ได้ครับ
ในโหมด Sport กดแล้วหน้าปักจะมีวงแหวนสีแดง เพิ่มการตอบสนองต่อคันเร่งให้ไวขึ้น พวงมาลัยหนักขึ้นเล็กน้อย และซิ่งได้สนุกขึ้นครับ โดยไม่ได้มีเสียงท่อแบบ Sport เร้าใจมาให้อย่างที่แฟนๆ มินิหลายคนคุ้นเคยนะครับ
โดยรวมแล้ว พูดอย่างเอนเอียงในฐานะแฟนมินิเลยว่า ผมชอบมากครับ
การชาร์จ
การชาร์จ Mini Cooper SE สามารถทำได้ทั้งแบบ AC กระแสสลับ ด้วย Wall Charge มาตรฐานที่ติดตามบ้านหรือตู้ชาร์จสาธารณะทั่วไปได้เลย ซึ่งหากใช้เครื่องชาร์จที่มีกำลัง 11kW ก็จะสามารถชาร์จจาก 0-80% ได้ในเวลา 2 ชั่วโมงครึ่ง และเต็ม 100% ใน 3 ชั่วโมงครึ่ง แต่ถ้าใช้เครื่องชาร์จที่มีกำลังน้อยกว่านี้ ก็จะเพิ่มระยะเวลาในการชาร์จขึ้นไปอีกพอสมควร
ตัวรถยังรองรับ DC Fast Charge กระแสตรงด้วย โดยรองรับสูงสุดที่กำลัง 50kW สามารถชาร์จจาก 0-80% ได้ภายใน 35 นาที และเต็มร้อยภายในเวลาน้อยกว่า 1 ชั่วโมงครึ่งครับ
สรุป
อย่างที่ทุกคนเข้าใจครับ MINI ไม่ใช่รถสำหรับทุกคน โดยเฉพาะในโฉม Hatch สามประตู เป็นหนึ่งในรถที่มีข้อจำกัดหลายอย่าง ทั้งขนาดของตัวรถ การเข้าออกของผู้โดยสารแถวหลัง พื้นที่เก็บสัมภาระ และความกระแทกกระทั้นที่ไม่ได้ทำให้เรานั่งได้สบายนัก แต่ข้อจำกัดเหล่านี้ แหละครับ ที่ทำให้แฟนๆ มินิชื่นชอบมาอย่างยาวนาน มันขับสนุก ดีไซน์โดดเด่น ตกแต่งได้หลากหลาย และตัวแบรนด์เองก็มีความเท่อย่างมาก
บวกกับการใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้า ที่ไม่ได้เหมาะกับทุกคนอีกเช่นกัน มันมี Range ที่จำกัด และมีเรื่องที่อยู่อาศัยที่ไม่ใช่ทุกคนจะสามารถติดเครื่องชาร์จเป็นของตัวเองได้ แต่หากใครเป็นแฟนมินิ ที่กำลังมองหารถใหม่ และยอมรับข้อจำกัดเรื่องเหล่านี้ได้ รวมถึงใครที่กำลังเล็งว่า รถคันต่อไปของตัวเอง ต้องเป็นรถเสียบปลั๊กแล้วนะ ผมว่า MINI Cooper SE คือรุ่นที่น่าสนใจมากๆ ครับ
รถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% ในตลาดบ้านเรา มีตัวเลือกไม่มากนัก ซึ่งแน่นอนเลยว่า ทันทีที่ MINI Cooper SE คันนี้เข้ามาทำตลาดบ้านเรา มันจะเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่น่าสนใจที่สุด และสวยงามเป็นเอกลักษณ์ น่าจับตามองที่สุดรุ่นหนึ่งเลยทีเดียว
ติดตามการเปิดตัวในไทย และราคาวางจำหน่ายของ MINI Electric ในไทยได้เร็วๆ นี้ครับ
บทความโดย:
อู๋ spin9