HUAWEI เขย่าตลาดสมาร์ทโฟนระดับพรีเมียมส่งท้ายปลายปี ด้วยการเปิดตัว HUAWEI Mate 20 พร้อมกันถึง 3 รุ่นรวด (ยังไม่นับว่ามี Porsche Design อีก) พร้อมตอกย้ำการเป็นสุดยอดแบรนด์สมาร์ทโฟนแห่งนวั
Disclosure: บทความนี้ ได้รับการสนับสนุนจาก HUAWEI โดยความเห็นทั้งหมดเป็นของผู้เขียน จากประสบการณ์ที่ได้รับจริงในการใช้งาน
หลายคนได้เห็นถึงอานุภาพของกล้อง Leica Triple Camera ของ HUAWEI Mate 20 Pro ไปบ้างแล้วตั้งแต่ที่มีการเปิดตัวนะครับ พออยากได้ ก็ไม่แน่ใจว่าควรจะซื้อ Mate 20 รุ่นไหนดี แต่ละรุ่นแตกต่างกันยังไงบ้าง จะถ่ายภาพได้สวยเท่ากันมั้ย รุ่นไม่โปรถูกลดทอนอะไรออกไปจากรุ่นโปรบ้าง วันนี้ผมขอหยิบเอา Mate 20 Series ทั้ง 3 รุ่นย่อย (Mate 20, Mate 20 X และ Mate 20 Pro) มาเทียบกันชัดๆ ถึงความแตกต่าง เพื่อไม่ให้เกิดการสับสน และเราจะได้เลือกซื้อรุ่นที่เหมาะสมกับเราได้ครับ
Design
HUAWEI Mate 20 , Mate 20 X และ Mate 20 Pro มีหน้าตาและขนาดที่ไม่เหมือนกัน และสามารถแยกได้ไม่ยากเลยครับ เพราะ Mate 20 รุ่นเริ่มต้น มีขนาดหน้าจอที่ใหญ่กว่า Mate 20 Pro เล็กน้อย และดีไซน์ของขอบตัวเครื่องไม่เหมือนกัน ส่วนรุ่น Mate 20 X นั้น ขนาดของตัวเครื่องจะใหญ่เป็นพิเศษ ด้วยขนาดหน้าจอใหญ่ถึง 7.2 นิ้ว ในรุ่น Mate 20 และ Mate 20 X ด้านบนของขอบจอจะมีติ่งสีดำเป็นหยดน้ำเล็กๆ ที่เป็นตำแหน่งของกล้องหน้า ส่วนในรุ่นพี่อย่าง Mate 20 Pro จะมีขอบสีดำเป็นแนวยาว สำหรับวางเซนเซอร์หลากหลายตัว เพราะ Mate 20 Pro มีเซนเซอร์สแกนความลึกของใบหน้า และสามารถสแกนวัตถุ 3 มิติได้ด้วย
พลิกไปดูด้านหลัง HUAWEI Mate 20 ทั้งสามรุ่น ใช้กล้องหลังแบบ Leica Triple Camera ทั้งหมด (แต่มีสเปกกล้องที่แตกต่างกัน ที่เดี๋ยวจะพูดถึงในหัวข้อถัดไป) บวกกับไฟแฟลช จัดเรียงเป็นกล่องสี่เหลี่ยมจัตุรัสอยู่กึ่งกลางของตัวเครื่อง โดดเด่นไม่เหมือนใคร ซึ่งทาง HUAWEI ให้ข้อมูลว่า ได้รับแรงบันดาลใจการออกแบบมาจากไฟหน้าแบบ LED ของรถ Porsche
ความแตกต่างชัดเจนของด้านหลังในแต่ละรุ่น คือใน HUAWEI Mate 20 และ Mate 20 X จะมีเซนเซอร์สแกนลายนิ้วมืออยู่ด้วย ในขณะที่ Mate 20 Pro จะไม่มีเซนเซอร์สแกนลายนิ้วมืออยู่ด้านหลังเลย เพราะ HUAWEI ได้ฝังเอาเซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือเข้าไปอยู่บนหน้าจอด้านหน้า เวลาจะปลดล็อกก็แค่วางนิ้วลงไปบนหน้าจอ ทำได้ล้ำกว่าใครเพื่อน
ใน Mate 20 Pro มีดีไซน์ขอบตัวเครื่องที่ไม่เหมือนรุ่นอื่นด้วยนะครับ เพราะใช้หน้าจอขอบโค้ง Curved OLED การจับถือจึงได้ฟีลลิ่งที่เข้ามือมากกว่ารุ่นอื่นๆ และมันเป็นหน้าจอที่สวยงามมากๆ ด้วย ให้ความละเอียดสูงถึง 2K+ ในขณะที่รุ่น Mate 20 และ Mate 20 X หน้าจอมีความละเอียด FHD+ เท่านั้น
Camera
ในเรื่องของกล้องบ้างนะครับ ที่ถือว่าเป็นจุดเด่นที่สุดของ HUAWEI Mate 20 Series ครั้งนี้ อย่างที่บอกไป ว่าทุกรุ่นใช้กล้องหลัง 3 ตัว Leica Triple Camera ทั้งหมด HUAWEI เลือกที่จะจัดวางกล้อง 3 ตัว ให้มีหน้าที่แตกต่างกันไป โดยกล้องตัวแรก เป็นกล้องหลัก มุมมองปกติ, กล้องถัดมา เป็นเลนส์ Ultra Wide ถ่ายภาพมุมกว้างแบบสุดๆ และกล้องตัวสุดท้าย ทำหน้าที่เป็นเลนส์ซูม สำหรับการถ่ายภาพจากระยะไกล โดยใน Mate 20 รุ่นปกติ จะได้สเปกกล้องที่น้อยกว่า Mate 20 X กับ Mate 20 Pro อยู่บ้าง
อย่างไรก็ตาม ฟีเจอร์ต่างๆ ของตัวกล้อง ใน Mate 20 Series ทุกตัว ก็ยังคงมีมาให้ครบถ้วนเท่ากันนะครับ ระบบ Master AI ยังตรวจจับสิ่งที่เราจะถ่ายและปรับโหมดให้เราได้อย่างชาญฉลาด จะถ่ายคนก็เข้าโหมด Portrait ให้ จะถ่ายกลางคืนก็มีโหมด Night แถมรอบนี้เพิ่มเข้ามาอีกหลายโหมด เช่นผมจะถ่ายรถ มันก็รับรู้และตรวจจับได้เลยว่าเรากำลังจะถ่ายรถ ปรับโหมดภาพที่เหมาะสมกับวัตถุที่เราจะถ่ายให้อย่างทันทีทันใด
Landscape
ผมว่ากล้องใน HUAWEI Mate 20 Series ที่โดดเด่นขึ้นมากคือเรื่องการถ่ายภาพ Landscape หรือภาพวิวนะครับ รายละเอียดของต้นไม้ , ตึก , ท้องฟ้าต่างๆ มันสามารถให้รายละเอียด ช่วง dynamic ได้กว้าง ส่วนมืดของภาพยังเห็นรายละเอียดได้คมชัด ในขณะที่ส่วนสว่างก็ไม่ขาวเวอร์จนมองไม่เห็นดีเทล ซึ่งถ้าส่วนสว่างเป็นท้องฟ้า ก็จะถูกปรับให้มีความสวยงามลงตัวเลยด้วย
Night Mode
การถ่ายภาพกลางคืน เป็นส่วนที่ท้าทายอย่างมากในกล้องมือถือนะครับ และ HUAWEI ตัวนี้ก็มีระบบ AI ที่สามารถตรวจจับได้ว่าเรากำลังถ่ายภาพในที่แสงน้อย และจะมีโหมดมาช่วยเหลือให้เราสามารถถ่ายภาพในเวลากลางคืนได้อย่างคมชัด ไม่สั่นไหว แม้จะใช้สปีดชัตเตอร์ที่นานกว่าธรรมชาติของมือเราจะถือได้อย่างนิ่งก็ตาม ดูตัวอย่างภาพที่ออกมาแล้ว ผมประทับใจในคุณภาพของมันมากครับ (สังเกตรูปด้านบนนี้ เก็บมาได้แม้กระทั่งพระจันทร์เสี้ยว อย่างคมชัดแบบสุดๆ)
Super Macro
หนึ่งโหมดกล้องที่มือถือตัวอื่นๆ ทำไม่ได้ คือโหมดการถ่ายภาพ Macro ที่หัวเว่ยเรียกว่าเป็น Super Macro ครับ และมันก็ทำได้ง่ายมากๆ ด้วย คือเราไม่ต้องตั้งค่าอะไรเลย แค่เราเอากล้องมือถือไปจ่อใกล้ๆ วัตถุ ในระดับที่ห่างไม่กี่เซนติเมตร ตัวกล้องก็จะปรับเข้สู่โหมดการถ่าย Super Macro ทันที และภาพที่เราเห็นจะทำให้เราตกใจมากๆ ครับ เพราะมันสามารถถ่ายออกมาได้ชัดทุกรายละเอียด แม้กระทั่งรายละเอียดที่เรามองเห็นด้วยตาเปล่าได้ยากด้วย ดูอย่างภาพนาฬิกาข้อมือด้านบนนี้ เราสามารถเห็นได้จนถึงเม็ดฝุ่นเลยทีเดียว หรืออย่างภาพเหรียญบาท ที่ใครจะคิดล่ะครับว่า กล้องมือถือจะสามารถถ่ายทอดรายละเอียดออกมาได้ขนาดนี้
Portrait
การถ่ายภาพบุคคล หรือ Portrait Mode นี่ HUAWEI โดดเด่นมากๆ อยู่แล้วครับ มาใน Mate 20 Series นี่ยิ่งเด่นชัด การละลายฉากหลังทำได้อย่างแนบเนียน และสามารถปรับระดับความเบลอของฉากหลังให้เหมาะกับความต้องการได้อย่างอิสระ
Ultra-Wide Angle
ที่ผมชอบมากเป็นพิเศษ คือความสามารถในการถ่ายแบบมุมกว้างพิเศษ หรือ Ultra-Wide Angle ซึ่งทำไม่ได้ในกล้องมือถือปกติทั่วไปครับ เวลาถ่ายภาพ Landscape หรือในพื้นที่จำกัด มันจะได้มุมมองใหม่ๆ ทั้งสวยงาม สว่าง และทำให้เพื่อนๆ ที่ไปด้วยกันเกิดอาการอิจฉาเลยทีเดียว วิธีการถ่ายภาพมุมกว้างของกล้อง HUAWEI Mate 20 ก็ง่ายมากเช่นกัน คือเราสามารถแตะปุ่มซูม และเลื่อนย้อนกลับมาที่ 0.6x ก็จะได้ภาพมุมมองกว้างแบบสุดๆ …. กว้างชนิดที่บางทีเราต้องระวังไม่ให้ถ่ายติดนิ้วตัวเองที่จับมือถืออยู่เลยล่ะครับ
AI Color (Video)
อีกหนึ่งโหมดที่โชว์พลังของ AI ได้เต็มที่มากๆ คือความสามารถในการถ่ายวิดีโอ ในโหมด AI Color ครับ โดยกล้องจะสามารถแยกวัตถุที่เป็นคนได้แบบเรียลไทม์ และแยกให้ส่วนอื่นๆ ทั้งหมดในวิดีโอเป็นสีขาวดำ ที่แม้กระทั่งคนตัดต่อวิดีโอฝีมือดีๆ ยังตัดต่อคลิปแบบนี้ออกมาได้ยากเลย แต่ HUAWEI Mate 20 Pro กลับทำได้แบบเรียลไทม์ ง่ายดาย แค่กดถ่ายคลิปมาตามปกติเท่านั้น อันนี้โหดมากจริงๆ ครับ
Fingerprint Unlock
HUAWEI Mate 20 Series ทุกรุ่น รองรับการปลดล็อกด้วยลายนิ้วมือครับ แต่อย่างที่บอกไปว่าเฉพาะ Mate 20 Pro เท่านั้น ที่มีเซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือฝังอยู่ในหน้าจอเลย การปลดล็อกด้วยลายนิ้วมือก็แค่วางนิ้วลงบนหน้าจอเท่านั้น แต่ด้วยความที่มันรองรับการปลดล็อกด้วยการสแกนใบหน้าด้วย ถ้าเราเปิดการปลดล็อกด้วยใบหน้าไว้ บางทีก่อนที่จะวางนิ้วลงบนหน้าจอ ตัวเครื่องก็ปลดล็อกแล้วล่ะครับ ส่วนรุ่นอื่นๆ จะมีเซนเซอร์อยู่ด้านหลังตัวเครื่อง
Face Unlock
HUAWEI Mate 20 Pro รองรับการปลดล็อกด้วยใบหน้า ด้วยการสแกนความลึกของใบหน้าแบบสามมิติ ซึ่งจะช่วยให้การปลดล็อกแม่นยำ และรวดเร็ว นั่นคือเหตุผลว่าทำไม Mate 20 Pro ถึงได้มีขนาดของรอยบากบริเวณขอบด้านบนหน้าจอที่ใหญ่กว่ารุ่นอื่นๆ ในขณะที่ Mate 20 และ Mate 20 X ก็รองรับการปลดล็อกด้วยใบหน้าเช่นกัน แต่จะเป็นระบบสองมิติ หรือการใช้กล้องหน้าเท่านั้น
แบตเตอรี และ ระบบการชาร์จ
Mate 20 Series ทั้งสามรุ่น รองรับระบบการชาร์จแบบเร็วนะครับ แต่มันชาร์จเร็วได้ไม่เท่ากัน โดยเริ่มจาก Mate 20 รุ่นปกติ มีแบตเตอรีขนาด 4,000 mAh รองรับการชาร์จเร็ว HUAWEI SuperCharge ที่กำลังไฟ 22.5W , ขยับมาที่ Mate 20 X หน้าจอใหญ่บึ้ม เหมาะสำหรับคอเกมโดยเฉพาะ มีขนาดแบตเตอรีใหญ่สะใจถึง 5,000 mAh และชาร์จได้เร็วที่ 22.5W เท่ากัน แต่ทีเด็ดอยู่ที่รุ่น Mate 20 Pro ที่มีขนาดแบตเตอรี 4,200 mAh แต่รองรับระบบ SuperCharge แบบใหม่ สามารถชาร์จได้เร็วมาก ที่กำลังไฟ 40W โดยมันสามารถชาร์จจาก 0-70% ได้ในระยะเวลาแค่ 30 นาทีเท่านั้น ผมได้ลองใช้แล้ว พบว่ามันชาร์จได้เร็วสะใจมากๆ ถูกใจมากๆ ครับ
นอกจากนี้ ใน HUAWEI Mate 20 Pro ยังเป็นรุ่นเดียวที่รองรับการชาร์จแบบไร้สาย Wireless Charging ที่ไม่ใช่แค่รองรับธรรมดา แต่รองรับการชาร์จไร้สายแบบเร็วถึง 15W อีกด้วยนะครับ ยังไม่พอแค่นั้น แต่ HUAWEI ได้สร้างความฮือฮาให้กับวงการ ด้วยการเปิดตัวระบบ Wireless Reverse Charging ในมือถือเป็นครั้งแรกในโลก แปลงร่างให้ตัวมันเองเป็นแท่นชาร์จแบบไร้สายให้กับมือถือตัวอื่นๆ ได้ ด้วยวิธีการง่ายๆ แค่นี้
เปิดการทำงานของ Reverse Charging ในเมนูแบตเตอรี
และนำมือถือที่รองรับ Wireless Charging รุ่นอื่น มาประกบด้านหลังแบบนี้ได้เลย ล้ำมากครับ และเป็นประโยชน์มากสำหรับคนพกมือถือหลายเครื่องหรือเมื่อเพื่อนๆ ต้องการแบตเตอรีในยามฉุกเฉิน
กันน้ำกันฝุ่น
Mate 20 Pro ได้รับมาตรฐานการกันน้ำกันฝุ่นที่ IP68 (กันน้ำได้ลึก 1.5 เมตร ไม่เกิน 30 นาที) ส่วนรุ่นอื่นๆ อย่าง Mate 20 และ Mate 20 X จะได้แค่มาตรฐาน IP53 ครับ คือกันได้แค่ละอองน้ำเท่านั้น อย่าเผลอทำตกน้ำเชียวครับ
ช่องเสียบหูฟัง 3.5mm
ใน Mate 20 รุ่นปกติ และ Mate 20 X ยังมีช่องเสียบหูฟังแบบ 3.5mm มาให้อยู่ครับ สามารถใช้กับหูฟังเดิมที่เรามีได้เลย แต่ในรุ่นพี่อย่าง Mate 20 Pro จะไม่มีช่องเสียบหูฟัง 3.5mm แล้ว โดยในกล่องจะมีหูฟังแบบ USB-C มาให้ พร้อมอะแดปเตอร์แปลง USB-C เป็น 3.5mm มาให้แทนครับ
ลำโพง
อีกส่วนหนึ่งที่แตกต่างกันพอสมควร ใน Mate 20 Series ทั้งสามรุ่น ก็คือส่วนของลำโพงนะครับ โดย HUAWEI เน้นหนักไปที่รุ่น Mate 20 X หน้าจอใหญ่สำหรับคอเกม ที่จะมีช่องลำโพงใหญ่ทั้งด้านบนและด้านล่างของตัวเครื่อง ให้เสียงที่ดังสะใจที่สุดในบรรดา Mate 20 ทั้งสามรุ่น ในขณะที่รุ่นอื่นจะมีขนาดลำโพงบนและล่างที่เล็กกว่า (Mate 20 Pro ฝังลำโพงอยู่ในช่อง USB-C ในขณะที่ Mate 20 รุ่นปกติ จะใช้ลำโพงสนทนาเป็นลำโพง External Speaker ไปเลยด้วย)
ปากกา
เฉพาะใน HUAWEI Mate 20 X รองรับการเขียนหน้าจอด้วยปากกา HUAWEI M Pen ด้วยนะครับ
อุปกรณ์เสริม
HUAWEI Mate 20 แต่ละรุ่นมีอุปกรณ์เสริมที่ไม่เหมือนกันด้วยนะครับ นอกเหนือจากอุปกรณ์มาตรฐานพวกเคสกันกระแทกแล้ว ใน Mate 20 X ยังมีจอยเกม สำหรับแปลงร่างมือถือ Mate 20 X ให้เป็นเครื่องเล่นเกมชั้นดีได้เลย ส่วนใน Mate 20 Pro ก็จะมีเคสสำหรับดำน้ำมาให้ รองรับความลึกถึง 5 เมตรเลยล่ะครับ ให้เราได้ใช้พลังของสุดยอดกล้องหลัง Leica Triple Camera ไปลุยกันได้ถึงใต้น้ำ
Performance
HUAWEI Mate 20 Series ทุกตัว ใช้ซีพียูตัวเดียวกันนะครับ นั่นคือ Kirin 980 และจีพียู Mali-G76 เหมือนกัน แถมรุ่นที่วางขายในไทย ยังเลือกเป็นรุ่นแรม 6GB มาเท่ากัน ทั้งใน Mate 20, Mate 20 X และ Mate 20 Pro ด้วย ซึ่งถ้าว่ากันทางเทคนิคแล้ว มันมีความเร็วความแรงเทียบเท่ากัน เปิดแอพ ใช้งานกราฟิก หรือ เล่นเกมได้ประสิทธิภาพพอๆ กัน แต่ประสบการณ์ในการใช้งานจริง อาจจะแตกต่างกันไปด้วยขนาดหน้าจอที่ไม่เท่ากัน ประเภทของจอที่แตกต่างกัน ความละเอียดหน้าจอ ขนาดแบตเตอรีที่แตกต่างกัน ซึ่งผมได้สรุปเป็นตารางความแตกต่างอย่างละเอียดเอาไว้ให้ชมแล้วตามนี้ครับ
ตารางสเปก + ราคาอย่างเป็นทางการในไทย
- HUAWEI Mate 20 รุ่น แรม 6GB ความจุ 128GB ราคา 24,990 บาท
- HUAWEI Mate 20 Pro รุ่น แรม 6GB ความจุ 128GB ราคา 31,990 บาท
- HUAWEI Mate 20 X รุ่น แรม 6GB ความจุ 128GB ราคา 28,990 บาท
สรุปจุดเด่น
รอบนี้ถือว่า HUAWEI จัดหนักมากในแทบจะทุกด้านของการใช้งานสมารืทโฟนในปัจจุบันเลยนะครับ แต่ส่วนตัวแล้วผมคิดว่า Mate 20 Series มี 3 จุดเด่น ที่คนอื่นไม่มี และหัวเว่ยก็ทำออกมาได้อย่างดีมากๆ เสียด้วย
- กล้อง Leica Triple Camera :
อันนี้เด่นชัดมากๆ ครับ และได้ปรับปรุงจากรุ่น P20 Pro ให้มันสามารถถ่ายได้ครอบคลุมในหลายสถานการณ์มากขึ้นไปอีก เช่นความสามารถในการถ่ายภาพมุมกว้าง Ultra-Wide Angle , ความสามารถในการถ่ายมาโคร ได้ระยะใกล้เพียง 2.5 เซนติเมตร และ เลนส์ซูม ที่ถ่ายภาพระยะไกลได้คมชัด พร้อมระบบกันสั่น บวกด้วยระบบ Master AI ที่กล้องจะรับรู้ได้ล่วงหน้าว่าเรากำลังจะถ่ายวัตถุอะไร และมันก็จะปรับโหมดให้เหมาะสมกับการถ่ายสิ่งนั้นๆ ได้แบบทันใจ ผมได้ทดลองแล้วมันรับรู้โหมดต่างๆ ได้เพิ่มเติมขึ้นกว่าเดิมมาก และก็ตรวจจับได้แม่นยำมากๆ - เทคโนโลยี AI ที่เอามาใช้งานกับหลากหลายแอพมากขึ้น:
หัวเว่นแนะนำเทคโนโลยี Hivision ที่ใช้กล้องมาช่วยในการตอบข้อสงสัยของเรา เช่น รู้จักสถานที่สำคัญ, สถานที่ท่องเที่ยว, งานศิลปะต่างๆ แค่ส่องกล้องไปยังสิ่งที่เราต้องการจะรับรู้ข้อมูลเพิ่มเติม มันก็ให้ข้อมูลเรากลับมาได้อย่างรวดเร็ว หรืออย่างการที่เราเอากล้องส่องอาหารประเภทต่างๆ และมันสามารถบอกแคลอรี่ได้เลยทันที ก็เป็นอะไรที่เจ๋งมากๆ - แบตเตอรี่:
นอกจากแบตเตอรี่ของตัวเครื่องที่ใหญ่มากพอที่เราจะใช้งานทั่วไปได้แบบทั้งวันแล้ว มันยังมาพร้อมเทคโนโลยีชาร์จเร็ว(มาก)ด้วย เช่นใน Mate 20 Pro นี่ชาร์จจาก 0-70% ได้ในครึ่งชั่วโมง บวกกับเทคโนโลยีการชาร์จแบบไร้สาย ที่สร้างความฮือฮาด้วยการทำ Reverse Charging เป็นแท่นชาร์จไร้สายให้กับอุปกรณ์ตัวอื่นๆ ของเราได้ อันนี้ร้ายกาจมากครับ
HUAWEI Mate 20 Series พร้อมวางจำหน่ายในไทยแล้ว ลองเลือกรุ่นที่เหมาะสมกับเรานะครับ ผมว่านี่คือหนึ่งในสมาร์ทโฟนที่น่าสนใจมากๆ ส่งท้ายปี 2018 ซึ่งก็มาในจังหวะพอดีที่หลายคนกำลังตัดสินใจเปลี่ยนมือถือเป็นรุ่นใหม่กันอยู่ ผมได้ลองใช้แล้ว และอยากให้หลายๆ คนได้มีโอกาสทดลองใช้ฟีเจอร์ใหม่ๆ เหล่านี้กันดู เพื่อประกอบการตัดสินใจเลือกซื้อครับ
สรุปเลือกรุ่นไหนดี?
HUAWEI Mate 20 Series ทั้ง 3 รุ่น ถึงจะมีพื้นฐานเป็นซีรีส์เดียวกัน และมีความสามารถที่ใกล้เคียงกัน แต่ก็มีช่วงราคา และมีรุ่นเหมาะกับแต่ละคนที่แตกต่างกันนะครับ ส่วนตัวผมคิดว่า ถ้าได้อ่านรีวิวชิ้นนี้ดูแล้ว และอยากได้ทุกอย่างที่ดีที่สุดใน Mate 20 Series ทั้งเรื่องความสุดยอดของกล้อง, ความสวยงามของหน้าจอ, ความสามารถด้านการชาร์จเร็ว รวมถึงเซนเซอร์ Depth ด้านหน้า ก็คงต้องเลือก Mate 20 Pro ไปเลย ไม่ผิดหวังแน่นอนครับ
ส่วนใน HUAWEI Mate 20 X อันนี้ค่อนข้างชัดเจนว่า เน้นคนที่ชอบมือถือจอใหญ่ โดยเฉพาะสายเกมเมอร์ ที่จะได้ใช้พลังการประมวลผลในมือถือที่แรงมากๆ ร่วมกับหน้าจอที่ใหญ่มากๆ (มือถือจอใหญ่ถึง 7.2 นิ้ว นี่ไม่ได้หาได้ง่ายๆ เลย) โดยที่ยังได้ความเทพของกล้อง Leica Triple Camera ในระดับเดียวกับ Mate 20 Pro อยู๋ ผมคิดว่ารุ่นนี้โดดเด่นมากครับ เป็นตัวเลือกใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน ที่ไม่กั๊กสเปก ในราคา 28,990 บาท
และสำหรับรุ่นเริ่มต้นอย่าง Mate 20 ที่ดูผิวเผินเหมือนจะไม่ได้มีฟีเจอร์แพรวพราวเหมือนรุ่นพี่ แต่ถ้าดูสเปกจริงๆ แล้ว มันคือโปรเซสเซอร์ความแรงระดับเดียวกัน แรมเท่ากัน รอมเท่ากัน ได้กล้องหน้าตัวเดียวกัน มี Dual-SIM เหมือนกันทุกอย่าง ส่วนกล้องหลังก็เป็น Leica Triple Camera เหมือนกัน (ที่มีความละเอียดน้อยกว่ารุ่นพี่) ได้ฟีเจอร์ด้าน AI จัดเต็มมาเหมือนกัน ในราคา 24,990 บาท ก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจมากๆ ในมือถือกลุ่มราคา 2 หมื่นกลางๆ ในตลาดตอนนี้เลยนะครับ
อ่านจบแล้ว น่าจะพอเลือกได้นะครับ ว่าจะสอย Mate 20 รุ่นไหนดี ซึ่งตอนนี้เริ่มวางจำหน่ายในประเทศไทยเป็นที่เรียบร้อยแล้วด้วยครับ
บทความโดย:
อู๋ spin9