ได้ฤกษ์วางขายในไทยเป็นที่เรียบร้อยครับ สำหรับ iPhone 8 และ iPhone 8 Plus ไอโฟนรุ่นปรับปรุงจากปีที่แล้ว ที่แม้จะมีหน้าตาเหมือนกับ iPhone 7 และ iPhone 7 Plus แทบทุกประการ แต่แท้จริงแล้ว มีการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างเหมือนกัน วันนี้ผมเอามารีวิวให้ชมกันอย่างละเอียดครับ
iPhone 8 | iPhone 8 Plus
iPhone 8 ยังคงมีให้เลือกสองขนาดเหมือนเดิมนะครับ คือ iPhone 8 ขนาดหน้าจอ 4.7 นิ้ว และ iPhone 8 Plus ขนาด 5.5 นิ้ว โดยทั้งสองรุ่น มีขนาดและมิติของตัวเครื่องเท่ากับ iPhone 7 และ iPhone 7 Plus เป๊ะๆ ชนิดที่สามารถใช้เคสเดิมมาสวมกับ iPhone 8 ได้เลย
แต่จุดที่แตกต่างจาก iPhone 7 และ iPhone 7 Plus ที่สามารถสังเกตได้จากชัดเจนจากภายนอก ก็คือบริเวณฝาหลังของตัวเครื่อง ที่เปลี่ยนวัสดุมาใช้กระจกแทน (เพื่อการรองรับระบบการชาร์จแบบไร้สาย) และมีให้เลือกทั้งหมด 3 สี คือ สีเทาสเปซเกรย์ สีเงิน และสีทอง มีขั้นตอนการลงหมึกและเฉดสีบนกระจกด้วยเทคนิคพิเศษ ให้ความเงางามได้อย่างมาก ที่มองแล้วมีความแตกต่างจาก iPhone 7 อย่างชัดเจนครับ และ iPhone 8 ก็ยังมีความสามารถในการกันน้ำ กันฝุ่นอยู่เหมือนเดิมด้วย
สีทองของ iPhone 8 เป็นสีทองโทนใหม่ครับ มีความผสมผสานกันระหว่างสีทองเดิมกับสีโรสโกลด์ เลยดูเหมือนเป็นสีทองอมชมพูนิดๆ บวกกับความเงางามของตัวเครื่องเข้าไป ก็น่าจะถูกใจหลายคนอยู่นะครับ
Display
มาดูข้อแตกต่างสำคัญข้อแรกของ iPhone 8 ที่เหนือชั้นขึ้นกว่าเดิม คือเรื่องของหน้าจอครับ แม้ว่าจะเป็นหน้าจอ Retina HD ขนาดเดิม และความละเอียดเท่าเดิม แต่เพิ่มการรองรับการแสดงผลแบบ True Tone ที่มันสามารถปรับเปลี่ยนอุณหภูมิสีหน้าจอให้ตรงกับสภาพแสงรอบๆ ตัวเครื่อง ณ เวลานั้นๆ โดยอัตโนมัติ เพื่อให้เรารู้สึกว่าหน้าจอแสดงสีได้เป็นธรรมชาติที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้นั่นเองครับ (เช่นเดียวกับหน้าจอ iPad Pro) เท่าที่ผมลองดู พบว่าหน้าจอมันดูเป็นธรรมชาติมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และยังคงสีสันสวยงามของจอ Retina HD ได้ตามมาตรฐานของ iPhone
Camera
เรื่องสำคัญอีกเรื่องที่มีการปรับปรุงขึ้นมาจาก iPhone 7 ก็คือเรื่องของกล้องครับ แม้ว่าจะยังเป็นกล้องที่มีความละเอียด 12 ล้านพิกเซลเท่าเดิม แต่มีการปรับปรุงเซ็นเซอร์ให้ใหญ่ขึ้น และพิกเซลที่เก็บรายละเอียดได้มากขึ้น เก็บภาพในสภาพแสงน้อยได้ดีขึ้น ถ่ายรูป ถ่ายวิดีโอได้สวยขึ้นกว่า iPhone 7 อย่างมีนัยสำคัญครับ ผมมีตัวอย่างภาพถ่ายจาก iPhone 8 มาฝากตามนี้เลย (ภาพทั้งหมดไม่มีการปรับแต่งจากแอปใดๆ)
จากหลากหลายสถานการณ์ ทั้งสภาพแสงปกติ, สภาพแสงน้อย, ถ่ายย้อนแสง, ภาพที่มีช่วงไดนามิกกว้างๆ ในภาพเดียวกัน, ภาพถ่ายบุคคล (จะเน้นในหัวข้อด้านล่าง), และภาพที่มีสีสันมากๆ น่าจะพอสรุปได้นะครับ ว่า iPhone 8 นี่มีการปรับปรุงเรื่องกล้องขึ้นมาอย่างชัดเจนมากๆ และผมคิดว่ากล้องเป็นจุดเด่นที่สำคัญที่สุดของ iPhone 8 เลยล่ะครับ
อย่างไรก็ตาม กล้องหน้าของ iPhone 8 และ iPhone 8 Plus ยังเป็นโมดูลกล้องเดิมจาก iPhone 7 และ iPhone 7 Plus นะครับ ไม่ได้มีการปรับปรุงขึ้นจากเดิม
Portrait Lighting
นอกจากการถ่ายรูปทั่วไปที่ถ่ายได้สวยขึ้นแล้ว ยังมีโหมดพิเศษที่เพิ่มขึ้นมา ที่เรียกว่า “Portrait Lighting” หรือ “การจัดแสงภาพถ่ายบุคคล” ที่มีมาให้เฉพาะในกล้องคู่ของ iPhone 8 Plus เท่านั้น เพิ่มเติมมาให้ในโหมด Portrait เดิม ที่ให้เราเลือกปรับแสงใบหน้าบุคคล (หรือจะสิ่งของก็ได้ ดูจากตัวอย่างที่ผมถ่ายมาด้านล่าง) ได้มากถึง 5 แบบ และเด่นมากในโหมด Stage Light กับ Stage Mono ที่ตัวกล้องสามารถตัดส่วนของฉากหลังออกไปได้ทั้งหมด เสมือนกับเราจัดแสงถ่ายในสตูดิโอดีๆ เลยครับ ซึ่งการกดชัตเตอร์ถ่ายภาพในโหมด Portrait มาหนึ่งรูป เราสามารถมาปรับเปลี่ยนโหมดการจัดแสงได้ในภายหลังด้วย ซึ่งบอกเลยว่า นี่คือโหมดที่โดดเด่นที่สุดของ iPhone 8 Plus เลยครับ ระบบการประมวลผลที่แยกฉากหลัง และความโค้งเว้าของใบหน้า เพื่อปรับแสงเงานี่ทำได้สมบูรณ์แบบมากๆ และได้ภาพที่น่าประทับใจตามตัวอย่างนี้เลย (ภาพทั้งหมดไม่มีการปรับแต่งจากแอปใดๆ)
นอกเหนือจากโหมดใหม่แล้ว การถ่ายภาพด้วยโหมด Portrait นี้ก็สามารถโฟกัสได้เร็วและถ่ายได้เร็วขึ้นกว่าโหมด Portrait ใน iPhone 7 Plus ค่อนข้างมากเลยครับ ตั้งแต่ผมใช้ iPhone 8 Plus มา ได้เลือกใช้โหมด Portrait บ่อยมากๆ และผมเชื่อว่าเจ้าของ iPhone 8 Plus ก็น่าจะเห็นพ้องต้องกัน ว่านี่เป็นอีกหนึ่งโหมดกล้องที่มักจะเลือกใช้ทุกครั้งที่มีโอกาสเลยครับ (ถ่ายคน ถ่ายของ ถ่ายอาหาร ฯลฯ)
Wireless Charging
iPhone 8 และ iPhone 8 Plus เป็นไอโฟนรุ่นแรกที่รองรับระบบการชาร์จไฟแบบไร้สาย (wireless charging) ครับ โดย Apple เลือกใช้มาตรฐาน Qi ที่เป็นมาตรฐานของการชาร์จไฟที่ได้รับความนิยมแพร่หลายในตลาดอยู่แล้ว และมีแท่นชาร์จขที่รองรับมาตรฐานนี้วางขายอยู่มากมายในท้องตลาด
ผมได้ทดลองชาร์จกับแท่นชาร์จของ Belkin และแท่นชาร์จของ Samsung ก็พบว่ามันสามารถชาร์จได้สะดวกดีครับ แค่วางเครื่องไอโฟนลงบนแท่น ระบบก็จะเริ่มชาร์จไฟให้เหมือนกับที่เราเสียบสายไอโฟนทันที และเมื่อเรายกเครื่องไอโฟนออกจากแท่น ระบบก็จะหยุดชาร์จโดยอัตโนมัติ และสามารถชาร์จได้โดยไม่ต้องถอดเคส (เคสส่วนมากใช้ได้หมด ยกเว้นรุ่นที่หนาจริงๆ)
ปัญหาของการชาร์จแบบไร้สาย คือมันยังไม่สามารถชาร์จได้เร็วนัก อันนี้ต้องขึ้นอยู่กับสเปคของแท่นชาร์จด้วยครับ รุ่นใหม่ๆ ที่ออกมา ก็จะรองรับการชาร์จที่อัตราที่สูงขึ้น แต่ก็จะทำได้ดีที่สุดเทียบเท่ากับการเสียบชาร์จผ่านอะแดปเตอร์ 5W เท่านั้น (จะมีน้อยรุ่นมากๆ ที่สามารถทำได้ 7.5W)
Accessories
อย่างที่บอกไปครับ iPhone 8 และ iPhone 8 Plus สามารถใช้เคสของ iPhone 7 และ iPhone 7 Plus ได้เกือบทั้งหมด อย่างไรก็ตาม Apple ก็ได้ออกเคสสำหรับรุ่น iPhone 8 และ iPhone 8 Plus มาโดยเฉพาะ ซึ่งมีให้เลือกทั้งแบบหนัง และแบบซิลิโคน ที่มีสีสันให้เลือกเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม และ Apple ก็รับรองว่า เคสที่ Apple ผลิตมาจำหน่ายนี้ รองรับกับแท่นชาร์จไร้สายได้โดยไม่มีปัญหาครับ
[Advertorial] ส่วนฟิล์มกันรอยและกระจกกันรอย อันนี้ต้องดูละเอียดขึ้นสักนิดครับ เนื่องจากตำแหน่งเซ็นเซอร์ของ iPhone 8 และ iPhone 8 Plus ไม่ได้อยู่ตรงกับ iPhone 7 จึงอาจใช้ฟิล์มและกระจกกันรอยจากรุ่นเดิมไม่ได้ แนะนำให้ดูรุ่นที่ผลิตมาตรงกับรุ่น iPhone 8 / iPhone 8 Plus โดยเฉพาะ และตอนนี้ก็เริ่มมีวางจำหน่ายหลายรุ่นแล้ว เช่นของโฟกัส มีกระจกกันรอยแบบ Super Glass 3D Full Frame ยืดหยุ่นและแข็งเป็นพิเศษ คลุมถึงขอบหน้าจอ และกระจกกันรอยรุ่นปกติ กับฟิล์มกันรอยหลากหลายแบบที่มีให้เลือกตามความต้องการและเลือกตามลักษณะการใช้งานของแต่ละคน ผลิตออกมาตรงรุ่นกับ iPhone 8 / iPhone 8 Plus โดยเฉพาะ เริ่มวางจำหน่ายแล้ววันนี้ (รายละเอียดเพิ่มเติม: www.focusshield.com/focus-super-glass)
Availability
iPhone 8 และ iPhone 8 Plus เริ่มวางขายในไทยแล้วตั้งแต่วันนี้ ทั้งสองรุ่น มีสองความจุให้เลือก คือ 64GB และ 256GB มีให้เลือกทั้งหมด 3 สี โดยราคาที่ Apple Online Store ระบุไว้คือ
- iPhone 8 – 64GB = 28,500 บาท
- iPhone 8 – 256GB = 34,500 บาท
- iPhone 8 Plus – 64GB = 32,500 บาท
- iPhone 8 Plus – 256GB = 38,500 บาท
ส่วนราคาที่วางจำหน่ายกับค่ายมือถือต่างๆ จะเปลี่ยนแปลงจากนี้เล็กน้อย ตามเงื่อนไขการซื้อเครื่องพร้อมโปรโมชั่นกับค่ายมือถือต่างๆ รวมถึงการซื้อเครื่องเปล่าจากค่าเมือถือ ก็จะมีราคาที่ต่างจาก Apple Online Store เล็กน้อยด้วยเช่นกัน แนะนำให้ตรวจสอบโปรโมชั่นกับทางค่ายมือถือที่ชื่นชอบได้เลยครับ
สรุป
iPhone 8 และ iPhone 8 Plus เป็นไอโฟนรุ่นมาตรฐานที่มีการอัปเกรดสเปคให้เหมาะกับการใช้งานในปีนี้มากขึ้น คงดีไซน์ตัวเครื่องเดิมเอาไว้ แต่ปรับปรุงกล้องให้โดดเด่นมากๆ โดยเฉพาะในโหมด Portrait Lighting ใน iPhone 8 Plus ที่หลายคนน่าจะชื่นชอบ จากคุณภาพของกล้องที่ดี บวกกับซอฟต์แวร์ที่ช่วยตกแต่งแสงเงาในภาพได้หลากหลายรูปแบบตามความต้องการ จนขึ้นแท่นเป็นหนึ่งในกล้องมือถือที่ดีที่สุดในตลาดสมาร์ทโฟนปัจจุบัน
หน้าจอของ iPhone 8 ก็โดดเด่นเหมือนกันครับ สีสันสวยงาม และแม่นยำมากขึ้นกว่ารุ่นเดิมอย่างรู้สึกได้ และ iPhone 8 ก็ยังมีฟีเจอร์ที่รองรับเทคโนโลยีในอนาคตติดมาให้ด้วย เช่นการรองรับการชาร์จแบบไร้สายที่จะมาเป็นมาตรฐานของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์แบบพกพาแทบทุกชนิดในอนาคต , การใช้โพรเซสเซอร์ที่เร็วขึ้น จนสามารถประมวลผลและแสดงกราฟฟิก AR ได้อย่างลื่นไหล และการใช้ซอฟต์แวร์ iOS 11 ที่มีการปรับปรุงระบบการจัดการไฟล์ โดยเฉพาะไฟล์วิดีโอได้ดีขึ้นกว่าเดิม รองรับ HEIF และ HEVC ที่บีบอัดข้อมูลได้ดีขึ้นสูงสุ
แล้ว iPhone X ล่ะ? ผมคิดว่า iPhone 8 กับ iPhone X นี่เป็นคนละตลาดกันนะครับ … ในความเห็นของผม ผมว่า iPhone 8 จะเป็นอัปเกรดที่ดีมากๆ สำหรับคนที่ใช้ไอโฟนรุ่นที่มีอายุสัก 2-3 ปีขึ้นไป จะเห็นความแตกต่างที่ชัดเจนมาก และยังมีสเปกกับฟีเจอร์ที่เอาไว้รองรับอนาคตได้ไกลอีกหลายปี ส่วน iPhone X ที่ตอนนี้ยังไม่ได้ประกาศวันวางจำหน่ายในบ้านอย่างเป็นทางการ (แต่ก็ใกล้มากๆ แล้ว) จะเป็นจุดเริ่มต้นของสมาร์ทโฟนในยุคใหม่ เหมาะกับคนที่ต้องการใช้เทคโนโลยีใหม่ก่อนใคร ที่แน่นอนว่า ต้องมีราคาค่างวดที่สูงขึ้นตามตัวไปด้วยนั่นเองครับ
บทความโดย:
อู๋ spin9