ผ่านไปแล้วนะครับ งานเปิดตัว iPhone ประจำปี ทุกๆ เดือนกันยายน แต่ปีนี้พิเศษกว่าทุกครั้ง เพราะปีนี้เป็นปีที่ Apple เฉลิมฉลองครบรอบ 10 ขวบปี นับตั้งแต่วันที่ Steve Jobs ได้ขึ้นเวทีเปิดตัวโทรศัพท์ iPhone ครั้งแรกในปี 2007 นั่นเอง ปีนี้ Apple เลยต้องจัดเต็ม เปิดตัวไอโฟนทีเดียว 3 รุ่นไปเลยพร้อมกัน
สำหรับคนที่พลาดการสรุปงานเปิดตัว iPhone X, iPhone 8 และ iPhone 8 Plus ผมได้สรุปให้ชมเป็นคลิปแล้วนะครับ มาชมกันก่อนเลย
หลังงานเปิดตัวครั้งนี้ ผมมีโอกาสได้จับเครื่องจริงแล้วทุกรุ่น เลยขอนำมาเล่าประสบการณ์การทดลองใช้ ให้ฟังกันก่อนที่ทุกคนจะตัดสินใจเลือกซื้อ ตามนี้ครับ
iPhone X
เริ่มจาก “ไอโฟนสิบ” ก่อน ตัวนี้แม้จะสะกดว่า iPhone X แต่จะออกเสียงตามเลขโรมันว่า iPhone Ten ซึ่งเมื่อเข้าไทยแล้ว จะถูกทำการตลาดด้วยชื่อ “ไอโฟนสิบ” ครับ (เพื่อสอดคล้องกับการเฉลิมฉลองครบรอบ 10 ปีไอโฟน) เป็นไอโฟนรุ่นท็อปที่หลายคนรอคอย และถือเป็นไอโฟนรุ่นที่มีการเปลี่ยนแปลงมากที่สุดนับตั้งแต่มีการเปิดตัวไอโฟนมา
เครื่องใหญ่แค่ไหน?
ขนาดของ iPhone X นั้น มีเพียงขนาดเดียว ไม่มีรุ่นพลัสนะครับ ขนาดหน้าจอ 5.8 นิ้ว แต่มีขนาดตัวเครื่องโดยรวมอยู่ระหว่างไอโฟนรุ่นพลัสกับรุ่นไม่พลัส ซึ่งนั่นหมายความว่า มันมีหน้าจอ 5.8 นิ้ว แต่ขนาดตัวเครื่องเล็กกว่า iPhone 7 Plus ที่มีขนาดหน้าจอ 5.5 นิ้วเสียอีก มันเข้ามือผมมากครับ ยืนยันว่าจับถนัดมือมาก และใช้งานมือเดียวถนัดมาก
ตัวเครื่อง มีขอบ นะครับ แม้ว่าด้านหน้าจะเป็นจอทั้งหมด แต่การใช้ฝ่ามือจับมันไว้ ก็ไม่ทำให้มือไปแตะโดนปุ่ม icon อะไรบนหน้าจอได้ง่ายๆ สักเท่าไหร่
ไม่มีปุ่มโฮม แล้วใช้ยังไง?
สิ่งที่ต้องเรียนรู้ใหม่หมดเลย ก็คือการที่มันไม่มีปุ่มโฮมนี่แหละครับ สรุป Gesture ใหม่ คือ
- การจะเข้าโฮม ต้องเปลี่ยนไป “เลื่อน” หน้าจอจากขอบล่างสุดของไอโฟนขึ้นมาแทน (เหมือนกับที่เราเข้า Control Center ในไอโฟนรุ่นปัจจุบัน)
- ส่วนขอบด้านบนตัวเครื่อง ถ้าเลื่อนลงมาจากขอบบนซ้าย จะเป็น Notifications
- ถ้าเลื่อนลงมาจากขอบบนขวา จะเป็น Control Center
- ถ้าเลื่อนจากขอบด้านล่าง เหมือนจะเข้า Home แต่หยุดไว้แค่ครึ่งทาง จะเป็นการเข้า Multi-tasking เพื่อเลือกแอพอื่นๆ ที่เปิดอยู่ (ทดแทนการกด double Home ในไอโฟนรุ่นปัจจุบัน)
ผมลองทำความคุ้นเคยอยู่แป๊บเดียว ก็ใช้ได้คล่องครับ ไม่ได้ยากอะไร
จอใหม่สวยมั้ย? ขอบบนแหว่งน่ารำคาญมั้ย?
หน้าจอ OLED สว่าง สีสวยครับ แต่สีไม่ได้สดเว่อเหมือนกับมือถือ OLED ของยี่ห้ออื่นๆ สิ่งที่สังเกตได้ชัดมากคือ ส่วนที่เป็นสีดำ มันแสดงผลได้ดำสนิทมากจริงๆ เป็นไอโฟนที่จอสวยมากจริงครับ อันนี้ผมยกให้เป็นหนึ่งในไฮไลต์ของ iPhone X เลย
ติ่งหรือขอบจอด้านบนที่แหว่งไป ดูน่ารำคาญไหม? ส่วนตัวผมคิดว่าไม่นะครับ จะมีแอป 2 ประเภท คือแอปที่ไม่ใช้พื้นที่ส่วนของติ่งซ้ายขวาเลย ปล่อยให้เป็นตำแหน่งของ Status ตัวเครื่องไป โชว์นาฬิกาด้านขอบซ้าย และโชว์ระดับแบตเตอรี, ระดับสัญญาณมือถือ, ไวไฟที่ขอบขวา แอปพวกนี้ก็จะเหมือนกับแอปที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้ครับ และออกจะใช้งานแอปได้เต็มตากว่าด้วย เพราะ Status Bar ถูกขยับขึ้นไปโชว์ตรงติ่งซ้ายขวานั่นเอง
ส่วนแอปอีกประเภท คือแอปที่ใช้พื้นที่ตรงติ่งซ้ายขวานั่นในการแสดงผลด้วย เช่นรูป หรือวิดีโอ แอปกลุ่มนี้อาจจะเลือกแสดงผลได้สองแบบ คือแสดงมาถึงแค่ขอบจอที่ยังเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าได้อยู่ กับเลือก Full Screen แสดงผลคลุมไปถึงสุดหน้าจอ (ซึ่งแน่นอนว่า ก็จะมีส่วนที่ถูกตัดแหว่งออกไป) อันนี้ก็แล้วแต่ความถนัดในการรับชมของแต่ละคน แต่ส่วนตัวผมว่ามันก็ไม่ได้น่ารำคาญเท่าไหร่นะครับ
ปลดล็อกด้วยใบหน้า ดีจริงหรือ?
Face ID ระบบการปลดล็อกด้วยใบหน้า อันนี้ผมออกตัวก่อนว่าอาจจะได้ลองไม่เต็มที่เท่าไหร่ เพราะห้องที่ hands-on อยู่ในสภาพแสงค่อนข้างสว่าง ปลดล็อกได้แม่นยำดีทุกครั้ง ใช้ร่วมกับฟีเจอร์ Raise to Wake ยกมือถือขึ้นมาให้จอติดอัตโนมัติ มองมือถือแว้บเดียว ก็มีขีดยาวๆ ที่ขอบล่างของจอปรากฏขึ้นมาให้เห็น สามารถใช้นิ้ว swipe ขึ้นเพื่อปลดล็อกได้แทบจะทันที ความเร็วในการสแกนรวดเร็วพอๆ กับ Touch ID ในปัจจุบัน
หน้าสด จะปลดล็อกได้มั้ย?
คำถามยอดฮิต คือปลดล็อกด้วยใบหน้าเนี่ย แล้วถ้าแต่งหน้า หรือหน้าสด รวมถึงถ้าไปทำศัลยกรรมมา จะปลดล็อกได้มั้ย? ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า ระบบ Face ID นี่มาทำหน้าที่แทน Touch ID ที่ปลดล็อกด้วยลายนิ้วมือครับ โดยที่ iPhone X ยังต้องมีพื้นฐานของการปลดล็อกด้วยรหัสตัวเลขหรือ Passcode อยู่ดี ดังนั้น หากการปลดล็อกด้วยใบหน้าไม่สำเร็จเรายังสามารถที่จะใช้ Passcode ในการปลดล็อกได้ทุกเมื่ออยู่ดี ไม่ต้องกังวลว่าแต่งหน้าแล้วจะปลดล็อกมือถือไม่ได้ไปทั้งวันนะครับ
ส่วนการเปลี่ยนทรงผม, การใส่แว่น, ใส่หมวด, ไว้หนวดเครา ทางแอปเปิลเคลมว่า ระบบ Face ID จะเรียนรู้หน้าตาของเรา และจะยังรับรู้ว่าเป็นตัวเราอยู่ สามารถใช้งานได้ตามปกติโดยไม่ต้องทำอะไรเพิ่ม แต่ถ้าหากไปถึงขั้นทำศัลยกรรมจนรูปหน้าผิดเพี้ยนไป ก็อาจจะต้องกดบันทึก Face ID ใหม่ ให้รับรู้ว่าเป็นใบหน้าของเรา เท่านั้นเองครับ
Animoji ลูกเล่นที่ไม่ธรรมดา
แต่อันที่สนุกจริงๆ คือ Animoji อีโมจิขยับหน้าตามหน้าเราได้ อันนี้เทพจริงครับ ตัวอีโมจิมันจำลองหน้าเราได้เป๊ะ และ realtime มากๆ มาครบทั้งสีหน้า ตา จมูก ปาก แก้ม คิ้ว ที่จำลองขึ้นมาให้คล้ายกับเรามากที่สุด ลองขยับหน้าเร็วๆ มันก็ track ตามได้แม่นมาก เป็นหนึ่งในฟีเจอร์ที่ทำได้ดี และน่าจะต่อยอดไปถึงลูกเล่นใหม่ๆ ในอนาคตได้อีกมากพอสมควรเลยกับ iPhone X ตัวนี้
กล้องล่ะ ถ่ายสวยขึ้นมั้ย?
กล้อง เช่นกันครับ ออกตัวก่อนว่า ณ วันนี้ผมยังไม่ได้ใช้ iPhone X ทดลองถ่ายในสภาพแสงอื่นๆ ได้ แต่ได้ลองระบบกันสั่นของกล้องคู่ด้านหลัง และลอง Portrait Mode กับ Portrait Lighting แบบใหม่แล้ว ผมว่าทุกคนน่าจะชอบการปรับโหมด Portrait Lighting มาก มันปรับแสงให้เฉพาะส่วนของใบหน้า เลือกได้หลากหลาย และเลือกเอา bankground ออกได้แบบสวยงาม เหมือนถ่ายอยู่ในสตูดิโอได้เลย ทำได้เนียนจริงครับ
กล้องหน้า มี Portrait Mode และ Portrait Lighting เหมือนกัน ถ่ายเซลฟี่แบบหน้าชัดหลังเบลอ ได้จากกล้องหน้าแล้ว เท่าที่ลอง กล้องหน้าดีกว่ารุ่นเดิมมากเลยทีเดียว ส่วนการทดลองในสภาพแสงอื่นๆ ขอติดไว้ก่อน และจะกลับมาอัปเดตนะครับ
มีกี่สี? มีกี่ความจุ?
iPhone X มีรุ่นเดียว ไม่มีรุ่นพลัสนะครับ เปิดตัวมา 2 สี คือสีดำ Space Black (ขอบเครื่องเป็นสเตนเลสสีดำ ด้านหน้าสีดำ) และสีเงิน Silver (ขอบเครื่องเป็นสเตนเลสสีเงิน ด้านหน้าสีดำ) มี 2 ความจุให้เลือก คือรุ่น 64GB และรุ่น 256GB
ขายเมื่อไหร่? ราคาเท่าไหร่?
iPhone X มีกำหนดขายในกลุ่ม 55 ประเทศแรก ในวันที่ 3 พฤศจิกายนนี้ (ยังไม่มีประเทศไทย) โดยเปิดราคาขายที่ความจุ 64GB ที่ $999 และความจุ 256GB ที่ $1,149 ซึ่งถ้าจะคิดคร่าวๆ ว่าเข้าไทยแล้วราคาจะเป็นเท่าไหร่ อาจจะเทียบกับราคาของ US ไม่ได้ตรงๆ แนะนำให้เทียบกับราคาของสิงคโปร์ ที่ขายสินค้า Apple ราคาใกล้เคียงกับไทย (64GB/256GB = S$1,648/S$1,888) ก็น่าจะได้ราคาไทยคร่าวๆ ว่า iPhone X รุ่น 64GB อาจเปิดราคาเริ่มต้นไม่ถูกกว่า 40,500 บาท ส่วนรุ่นท็อปอย่าง 256GB อาจทะลุ 46,500 บาทเลยทีเดียวครับ*
(*เป็นการคาดการณ์เท่านั้น)