รีวิว iPhone 7 และ iPhone 7 Plus

วางจำหน่ายในประเทศไทยอย่างเป็นทางการครับ กับ iPhone 7 และ iPhone 7 Plus สมาร์ทโฟนที่หลายคนรอคอย หลังจากที่ได้เปิดตัวพร้อมกันทั่วโลกไปเมื่อวันที่ 7 กันยายนที่ผ่านมา ในที่สุดก็ได้ฤกษ์วางจำหน่ายในประเทศไทยเป็นที่เรียบร้อย วันนี้ผมจะพาไปดูทุกฟีเจอร์ใหม่ของ iPhone 7 พร้อมบอกเล่าประสบการณ์การใช้งานจริง ว่าคุ้มค่า น่าซื้อ น่าเปลี่ยน น่าอัปเกรดมาใช้หรือไม่ ไปชมกันครับ

หากใครได้ติดตามอย่างใกล้ชิด น่าจะทราบว่าผมมีโอกาสได้ไปร่วมงานเปิดตัว iPhone 7 ที่นครซานฟรานซิสโกมาด้วย และได้ทำการสรุป พร้อม hands on ตัวเครื่องทันทีหลังงานเปิดตัวให้ได้ชมกันไปแล้ว เพื่อเป็นการ wrap-up ฟีเจอร์ต่างๆ กันก่อน ถ้าใครพลาดชมการ hands on ครั้งนั้น แนะนำให้ชมในคลิปด้านล่างนี้กันก่อนนะครับ

แต่วันนี้ ในไทยเริ่มวางจำหน่ายกันจริงๆ แบบที่เราสามารถเดินหาซื้อกันทั่วไปได้แล้ว เรามาดูกันครับว่า ฟีเจอร์ใหม่แต่ละอย่างของ iPhone 7 นั้น คุ้มค่าน่าปรับเปลี่ยนมาใช้แค่ไหนกันบ้าง

สีใหม่

img_0032

iPhone 7 และ iPhone 7 Plus เปิดตัวมาพร้อม 2 สีใหม่ครับ นั่นก็คือสีดำเงา (Jet Black) ที่ Apple ชูเป็นสีโปรโมต และคาดว่าจะเป็นสีที่ได้รับความนิยมสูงที่สุด บวกกับอีกหนึ่งสีใหม่ คือสีดำด้าน (ใช้ชื่อสีว่า Black เฉยๆ) ที่ออกมาทดแทนสีเทา Space Grey ตัวเดิม ส่วนอีก 3 สีเป็นสีที่มีอยู่ในไอโฟนอยู่แล้ว นั่นคือสีเงิน สีทอง และสีโรสโกลด์ รวมทั้งหมดแล้ว มีให้เลือกมากถึง 5 สีด้วยกัน

Jet Black

img_0030

สีดำเงา หรือ Jet Black เป็นสีใหม่ล่าสุด ซึ่งของจริงนั้น เป็นสีดำที่ดำสนิทมากๆๆ ครับ และความเงาคือสามารถสะท้อนได้ใกล้เคียงกระจกเลย สีใหม่นี้ ได้รับความ exclusive อย่างยิ่ง โดดเด่นกว่าอีก 4 สีที่เหลืออย่างชัดเจน เพราะ Jet Black เป็นเพียงสีเดียวของ iPhone 7 และ iPhone 7 Plus เท่านั้น ที่จะได้รับกล่องสีดำ แตกต่างจากอีก 4 สีที่เหลือ ที่จะเป็นกล่องสีขาวทั้งหมด

img_3632

นอกเหนือจากเรื่องกล่องดำที่โดดเด่นตั้งแต่แรกเห็นแล้ว Jet Black ยังคงเป็นเพียงสีเดียว ที่มีพื้นผิวแตกต่างจากไอโฟนสีอื่นๆ ด้วยครับ นั่นคือมันถูกขับเคลือบพื้นผิวของอะลูมิเนียมซีรีส์ 7000 ด้วยกรรมวิธีพิเศษถึง 9 ขั้นตอน ให้ความดำสนิท และเงางามจนแทบจะไม่สามารถแยกได้ว่า ตรงไหนคือขอบของตัวเครื่อง เพราะดูเนียนไปกับความเงาของกระจกหน้าจอ

img_0025

จากการใช้งานจริงมาระยะหนึ่ง ความกังวลของหลายคนต่อสี Jet Black ที่สงสัยว่ามันจะเป็นรอยง่ายหรือไม่ ต้องบอกเลยว่า “เป็นรอยง่าย” ครับ รอยขีดข่วนหรือที่เราเรียกว่ารอยขนแมวนั้น เกิดขึ้นได้แทบจะทันทีที่ถูกหยิบมาใช้งาน รวมถึงมันยังเป็นวัสดุที่เปรอะรอยนิ้วมือได้ง่ายกว่าวัสดุผิวด้านที่ใช้ในสีอื่นๆ ของไอโฟนด้วย จึงขอแนะนำสำหรับผู้ที่เล็งสี Jet Black เอาไว้ว่า ต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้งานมากเป็นพิเศษ หากไม่ต้องการให้ตัวเครื่องเป็นรอยนะครับ

img_0049

อีกส่วนที่ทำให้ผมชอบ Jet Black ก็คือพื้นผิววัสดุที่ผ่านขั้นตอนการขัดเคลือบมานี้ มันมีความหนืดกว่าวัสดุของสีอื่นๆ พอสมควร โอกาสลื่นหลุดมือเป็นไปได้ยากกว่าอย่างเห็นได้ชัดมากๆ

Black

img_0035

สีใหม่อีกสี คือสีดำด้าน ซึ่งจริงๆ แล้ว มันเป็นสีที่มาแทนสีเทาเข้มอย่าง Space Grey ที่มีอยู่ในไอโฟนรุ่นก่อนๆ นั่นแหละครับ รอบนี้ Apple ปรับให้สีเทาเข้มนั้น กลายเป็นสีดำ มืดลงไปเยอะ และที่ผมเรียกว่าสีดำด้านนั้น ความจริงก็คือวัสดุเดียวกับสีพื้นฐานอื่นๆ อย่างสีเงิน สีทอง และ สีชมพู Rose Gold นั่นแหละครับ แต่ต้องมีคำว่าดำด้าน เพื่อที่จะแยกความแตกต่างออกจากดำเงาของ Jet Black เท่านั้นเอง

img_0020

สีดำด้าน เป็นสีที่ Apple ไม่เคยทำในไอโฟนมาก่อน และก็ทำให้หลายๆ คนเกิดคำถามว่า ดำเงา หรือ ดำด้าน สวยกว่ากัน? อันนีต้องขึ้นกับความชอบส่วนบุคคลกันเลย แต่ไม่ว่าจะเป็นสี Black หรือ Jet Black ก็จะได้เปรียบสีอื่นๆ ตรงที่เราจะมองไม่เห็นเส้นสัญญาณของเสาอากาศที่พาดอยู่บริเวณขอบบนและล่างของตัวเครื่องได้ชัดเจนนัก ต่างหากตัวเครื่องสีทอง สีเงิน และสีโรสโกลด์ที่จะมองเห็นเป็นเส้นสีเทาอย่างชัดเจน

Rose Gold, Gold, Silver

img_3680
img_3700

สีพื้นฐานอีก 3 สี คือ สีเดิมของไอโฟนจากรุ่นก่อนๆ ครับ ซึ่งตอนนี้ก็ไม่ได้ถูกพูดถึงให้มีความฮือฮาอะไรแล้ว สังเกตได้ว่า เราจะมองเห็นเส้นสัญญาณเสาอากาศบริเวณขอบบนและล่างของตัวเครื่องได้ชัดกว่าสีดำอยู่มาก แต่ทั้งสามสีนี้ก็จะยังได้รับความนิยมสูงเช่นเดิม เพราะนี่เป็นเพียง 3 สีเท่านั้น ที่ด้านหน้าของตัวเครื่องเป็นสีขาวนั่นเองครับ (รุ่นที่เป็นสีดำ ก็จะมีด้านหน้าเป็นสีดำนะ)

img_3701
img_3687

ถ้าให้เลือกเพียง 1 สี ส่วนตัวแล้ว ผมก็จะเลือกสี Jet Black อยู่ดีครับ (และจะแนะนำให้คุณผู้อ่านเลือกสีนี้ด้วย) จะซื้อใหม่ทั้งที ก็จัดสีใหม่กันไปเลยดีกว่า แต่ลืมบอกไปว่า สี Jet Black จะถูกจำกัดที่ความจุ 128GB และ 256GB เท่านั้น ในขณะที่สีอื่นๆ จะมีตัวเลือกของรุ่น 32GB ให้ได้เลือกกันด้วย

IP67 กันน้ำ กันฝุ่น

img_0099

ความสามารถในการกันน้ำ และ กันฝุ่นของ iPhone 7 ตามมาตรฐาน IP67 นั้น มีไว้เพื่อความอุ่นใจเท่านั้นครับ ว่าถ้าเกิดกรณีเราเผลอทำ iPhone 7 ตกน้ำ หรือใช้งานกลางฝน ก็จะยังสามารถใช้งานได้เป็นปกติโดยไม่สร้างความเสียหายกับตัวเครื่อง แต่!! Apple ไม่แนะนำให้นำไปใช้ใต้น้ำ หรือนำไปว่ายน้ำด้วยนะครับ และไม่เคยโปรโมตในลักษณะดังกล่าวด้วย แม้ว่าตามมาตรฐาน IP67 นี้ จะสามารถกันน้ำที่ความลึก 1 เมตรได้นาน 30 นาทีก็ตาม

img_0098

จากการทดลองใช้งานจริง และจงใจนำ iPhone 7 ไป “เล่นกันน้ำ” ทั้งจุ่ม ทั้งแช่ ทั้งใช้งานกลางฝนแบบไม่ต้องคอยบังไม่ให้มันเปียกเหมือนแต่ก่อน พบว่ามันก็สามารถใช้งานได้อย่างเป็นปกติ ไม่มีอาการอะไรให้เห็นเลย แต่ก็อย่าลืมเช็ดให้แห้งสนิทหลังจากนำขึ้นมาจากน้ำ หรือในกรณีที่ใส่เคสไว้ ก็อย่าลืมถอดเคสมาเช็ดด้วยนะครับ (เคสหนัง ไม่ควรเอาลงน้ำนะ) สำรวจรูเสียบชาร์จให้แน่ใจ ว่าไม่มีน้ำขังอยู่ภายใน ก่อนที่จะทำการเสียบชาร์จด้วยนะครับ

apple-ip67

และที่ต้องย้ำเตือนและแจ้งให้ทราบคือ หาก iPhone 7 เสียหายจากกรณีที่น้ำรั่วซึม หรือเสียหายจากความชื้น จะไม่อยู่ในเงื่อนไขการรับประกันทุกกรณีครับ

ปุ่มโฮม

img_0039

ความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญของ iPhone 7 ก็คือปุ่มโฮมครับ ปุ่มที่เราต้องกดเป็นร้อยๆ ครั้งต่อวัน พอมาใน iPhone 7 นี้ บริเวณปุ่มโฮมจะไม่สามารถกดให้มันลึกลงไปได้แล้ว แตต่มันถูกทดแทนด้วยเซนเซอร์รับน้ำหนัก ที่สามารถรับรู้แรงกดได้แทนปุ่มครับ ปุ่มโฮมแบบนี้ ใช้เทคโนโลยีเดียวกับ Force Touch ที่อยู่ใน Magic Trackpad ใน MacBook และ MacBook Pro รุ่นใหม่ ที่แอปเปิลเคลมว่า จะสามารถพัฒนาให้ปุ่มโฮมมีฟีเจอร์ที่หลากหลายมากขึ้นในอนาคต รวมถึงยังมีความทนทานมากกว่าปุ่มโฮมแบบเดิมอีกด้วย

img_3628

เท่าที่ผมลองใช้ดู ในการกดช่วงแรกๆ จะรู้สึกแปลกๆ ครับ เพราะตัวปุ่มไม่ได้ยุบลงไปเหมือนกับไอโฟนที่เราคุ้นเคยมาหลายต่อหลายปี แต่ Apple ก็มี Taptic Engine มาช่วยในเรื่องของความรู้สึก โดยมันจะสั่นกลับมาเบาๆ ให้ใกล้เคียงกับความรู้สึกตอนกดปุ่มโฮมในไอโฟนรุ่นก่อนๆ ให้มากที่สุด ที่มีเมนูให้เราเลือกการตอบสนองของ Taptic Engine ได้ 3 ระดับตั้งแต่การเปิดเครื่องมาใช้งานครั้งแรก มีตั้งแต่สั่นกลับมาเบาๆ จนไปถึงสั่นหนักๆ กลับมาตามแต่ที่ผู้ใช้งานแต่ละคนจะชอบ

ต้องยอมรับว่า “ปุ่มโฮมปลอม” นี่ใช้เวลานานพอสมควรเลยนะครับ กว่าที่เราจะเริ่มชินกับมัน ในการใช้งานในชีวิตประจำวัน ส่วนตัวผมใช้เวลาอยู่ประมาณ 5 วันเต็มๆ กว่าที่จะเริ่มกดได้แบบไม่รู้สึกว่ามันเป็นปุ่มปลอมครับ ในวันแรกๆ อาจจะมีอาการกดย้ำแล้วย้ำอีก จนกลายเป็น double click ไปบ้าง หรือเผลอแช่ปุ่มค้างไว้จน Siri ทำงานขึ้นมาเองบ้าง จนแทบเป็นเรื่องปกติของทุกคนที่จะเพิ่งปรับเปลี่ยนมาใช้ iPhone 7

กล้อง

img_0037

ระบบกล้องของ iPhone 7 น่าจะเป็นส่วนที่ถูกพูดถึงมากที่สุดในไอโฟนรุ่นใหม่นี้ครับ ซึ่ง Apple แบ่งกล้องออกเป็นสองรุ่น คือ iPhone 7 จะมีกล้องหลังแบบตัวเดียวตามปกติ แต่ iPhone 7 Plus จะมีกล้องหลังแบบกล้องคู่ หรือ Dual Camera เป็นครั้งแรก โดยกล้องหลังนี้ ทีความละเอียด 12 ล้านพิกเซล ค่ารูรับแสง f/1.8 สว่างกว่าที่เคยมีมา และมีระบบกันสั่นที่ตัวเลนส์ (Optical Image Stabilizer: OIS) มาให้ทั้งรุ่นพลัส และไม่พลัสเป็นครั้งแรกเช่นกัน

iPhone 7 – Camera

img_0022

กล้องของ iPhone 7 รุ่นเล็ก จะยังคงเป็นกล้องเดี่ยวปกติอยู่ครับ แต่เราจะสังเกตได้ชัดมากๆ ว่าขนาดของตัวกล้องนั้นเติบโตขึ้นมาก ขนาดเลนส์ที่ใหญ่ขึ้น รูรับแสงกว้างขึ้น และเสริมเอาระบบกันสั่น (Optical Image Stabilization) เข้ามาอยู่ในไอโฟนขนาดหน้าจอ 4.7 นิ้วเป็นครั้งแรก เรียกว่าถ้าดูจากขนาดของเลนส์กล้องแล้ว ก็รู้สึกอุ่นใจขึ้นมาเยอะเลย ว่าเลนส์ใหญ่ขึ้นขนาดนี้ ต้องถ่ายได้สวยงามขึ้นอย่างมากแน่นอน

ในการใช้งานจริง แม้ว่าความละเอียดของกล้องจะอยู่ที่ 12 ล้านพิกเซลเท่าเดิม แต่กล้อง iPhone 7 นี่โฟกัสและวัดแสงได้เร็วขึ้นกว่าเดิมมากครับ บวกกับรูรับแสงที่กว้างขึ้น ทำให้ถ่ายในที่แสงน้อยได้ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

นี่คือตัวอย่างภาพบางส่วนจากกล้อง iPhone 7 ครับ (ไม่ผ่านการแต่งภาพ, ไม่ผ่านแอพ, ไม่ปรับสี, ทำปรับลดขนาดเพียงอย่างเดียว)

10b45a4b-58cf-4875-b3c0-c15143527c8d
ตัวอย่างภาพจากกล้อง iPhone 7

iPhone 7 Plus – Dual Camera

img_0023

มาถึง iPhone 7 Plus บ้าง กับครั้งแรกของ “กล้องคู่” บนไอโฟนครับ กล้องคู่นี้ ไม่ได้มีอะไรที่เข้าใจยากเลย กล้องตัวหนึ่งจะเหมือนกับกล้องบน iPhone 7 ทุกประการ (28mm f/1.8 มีระบบกันสั่น OIS) ส่วนกล้องที่เพิ่มเติมมาอีกตัว จะเป็นกล้องที่มีระยะซูมเข้าไปอีก 1 เท่าตัว (56mm) ส่งผลให้ iPhone 7 Plus สามารถทำการซูมได้ 2x จากออปติคัลล้วนๆ ให้ภาพในระยะซูม 2x ที่คมชัด สวยงามอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

img_0089
img_0091

แต่หากเราทำการซูมเข้าไปมากกว่านั้น ซึ่ง iPhone 7 Plus ได้เราซูมได้สูงสุดถึง 10x เลย ก็จะเป็นการซูมแบบดิจิทัลครับ ภาพก็จะแตกๆ บ้างตามข้อจำกัดของการซูมด้วยซอฟต์แวร์ (แต่ถ้าแสงไม่ได้มืดมาก ก็ทำได้โอเคเลยนะครับ) ดังภาพตัวอย่างการซูมนี้

7plus-zoom
ตัวอย่างภาพจากกล้อง iPhone 7 Plus

จากการใช้งานจริง ฟีเจอร์การซูม 2 เท่านี่มีประโยชน์ดีทีเดียวแหละครับ มีโอกาสได้ภาพคมชัดสูงกว่าการซูมด้วยซอฟต์แวร์ค่อนข้างมาก ถึงแม้ในชีวิตจริงอาจจะไม่ได้ใช้มุมกล้อง 56mm เป็นหลัก (เรามักจะถ่ายภาพมุมกว้างกันมากกว่าเป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว) แต่ก็มีไว้ อุ่นใจเมื่อเจอสถานการณ์ที่ต้องใช้งาน

Portrait Mode หน้าชัดหลังเบลอ

แต่ทีเด็ดจริงๆ ของกล้องคู่บน iPhone 7 Plus ก็คือโหมดที่เรียกว่า Portriat หรือ “หน้าชัดหลังเบลอ” ที่ถูกเพิ่มเข้ามาใน iPhone เป็นครั้งแรก ชนิดที่จะทำให้หลายคนตกตะลึงกับภาพที่ได้จากโหมดนี้ ว่ามันมาจากกล้องมือถือ ไม่ใช่กล้องใหญ่อะไรเลย

img_0094

โหมด Portrait นี้ จะใช้การทำงานของกล้องคู่ ทำงานร่วมกันครับ โดยเมื่อเลื่อนเข้าโหมด Portrait มุมภาพจะถูกปรับไปใช้ระยะ 56mm (ระยะซูม 2x) โดยอัตโนมัติ และตัวไอโฟนจะใช้กล้องในมุมกว้าง (28mm) ในการหาระยะลึกตื้นของภาพ จากนั้น ซอฟต์แวร์ของตัวเครื่องจะทำการ “เบลอ” ส่วนที่ไม่ได้โฟกัสในภาพให้กับเรา ส่งผลให้ภาพถ่าที่ได้ออกมา มีความ “หน้าชัดหลังเบลอ” พื้นหลังละลายอย่างที่หลายคนต้องการ ซึ่งทั้งหมดนี้ มันทำได้รวดเร็วพอสมควรเลย

img_0093

ข้อจำกัดของโหมด Portrait ก็คือ เราต้องมีระยะห่างระหว่างไอโฟน กับวัตถุที่เราต้องการโฟกัสพอสมควรครับ (ประมาณ 8 ฟุต หรือ 2.43 เมตร) และอยู่ในสภาพแสงที่ดีระดับหนึ่ง (หากแสงไม่มากพอ อาจจะทำ Depth Effect ไม่ได้ หรืออาจจะมี noise เกิดขึ้นค่อนข้างมาก) เมื่อไอโฟนจับโฟกัสได้แล้ว จะมีแถบสีเหลืองปรากฏคำว่า “Depth Effect” ขึ้น พร้อมละลากฉากหลังให้เราเสร็จสรรพ เมื่อกดถ่ายภาพในโหมดนี้แล้ว เราจะได้ 2 ภาพเสมอ นั่นคือภาพปกติ และ ภาพที่มีการละลายฉากหลังด้วยซอฟต์แวร์นั่นเองครับ

img_0068
ตัวอย่างภาพจากกล้อง iPhone 7 Plus – Portrait Mode

ดูจากตัวอย่างภาพแล้ว น่าตกใจพอสมควรเลยใช่มั้ยครับ มันทำได้ดี และเนียนใช้ได้ นี่คือภาพที่ถ่ายจาก iPhone โดยโหมด Portrait นี้ไม่จำกัดว่าต้องถ่ายเฉพาะคนนะครับ สามารถใช้ถ่ายวัตถุใดๆ ก็ได้ ถ้ามันสามารถจับโฟกัสได้แล้ว ก็จะเบลอส่วนอื่นของภาพออกได้อย่างแนบเนียนทีเดียว ถึงแม้ว่าอาจจะเทียบกับการเบลอของภาพที่ได้จากชิ้นเลนส์จริงๆ ของกล้อง mirrorless หรือ DSLR ตรงๆ ไม่ได้ แต่คุณภาพระดับนี้ กับกล้องบนสมาร์ทโฟน ถือว่าสุดยอดแล้วครับ

ปัจจุบันโหมด Portrait ยังคงอยู่ในขั้นตอนการพัฒนาในเวอร์ชั่น iOS 10.1 Public Beta อยู่ คาดว่า Apple จะปล่อยให้บุคคลทั่วไปสามารถอัปเดตได้ไม่เกินสิ้นปีนี้

กล้องหน้า FaceTime HD Camera

ในส่วนของกล้องหน้า ของทั้ง iPhone 7 และ iPhone 7 Plus ปรับขึ้นมาเป็นความละเอียด 7 ล้านพิกเซล ใช้เทคโนโลยีโฟกัสพิกเซลแบบใหม่ และมีระบบป้องกันภาพสั่นไหวในตัว (Auto Image Stabilization: AIS) ผมลองถ่ายดูแล้ว เซลฟีได้ง่าย และสวยกว่ารุ่นเดิมเยอะเอาเรื่องเหมือนกันนะครับ รวมถึงใช้ในการทำ Video Call ก็ชัดเจนกว่ารุ่นเดิมค่อนข้างมาก น่าจะถูกใจหลายคนครับ

หน้าจอ

รูปที่ถ่ายสวย ต้องแสดงผลบนหน้าจอที่ดีด้วยเช่นกันครับ แม้ว่า iPhone 7 จะมีขนาดหน้าจอเท่ากับ iPhone 6s มีความละเอียดเท่ากัน ใช้จอแบบ IPS เหมือนกันทุกอย่าง แต่หน้าจอของ iPhone 7 นั้น มีความสว่างที่มากขึ้นกว่าเดิม 25% และรองรับการแสดงผลด้วยขอบเขตสี (color gamut) ที่กว้างกว่าเดิม โดย Apple เรียกจอนี้ว่าเป็นหน้าจอแบบ Retina HD และแน่นอนว่า ยังคงรองรับการกดแบบ 3D Touch เช่นเคย

img_3801

จากการใช้งานจริง พบว่า iPhone 7 มีหน้าจอที่สวยสดใสขึ้นอย่างสังเกตได้ครับ โดยเฉพาะรูปถ่ายต่างๆ ที่แสดงสีสันได้ฉูดฉาดกว่าเดิม แต่อาจจะเห็นความแตกต่างไม่ชัดมากนักถ้าเป็นการดูเว็บ หรืออ่านข้อความทั่วไป ซึ่งในอนาคต จะเริ่มมี app ที่ใช้ประโยชน์ของช่วงสีที่กว้างขึ้นของจอภาพ iPhone 7 ออกมาอัปเดตกันมากขึ้น ช่วยให้เราสามารถดูแอปต่างๆ หรือตกแต่งภาพได้ในช่วงสีที่กว้างขึ้นกว่าการใช้งานบนไอโฟนรุ่นก่อนหน้า

ลำโพง

ส่วนของลำโพงไอโฟน มีการปรับปรุงครั้งใหญ่เลยครับ เพราะนี่คือครั้งแรกที่ไอโฟนมีลำโพงแบบ Stereo แล้ว (ตัวหนึ่งจะอยู่ในตำแหน่งเดิม คือช่องลำโพงด้านขวาของรูเสียบชาร์จไฟ และอีกตัวหนึ่งจะปล่อยเสียงมาจากบริเวณลำโพงสนทนา เหนือจอภาพ) สามารถปรับความดังได้สูงสุดกว่าเดิมถึงสองเท่า ดังสะใจขึ้นกว่าเดิมมากๆ

แต่ไม่มีช่องเสียบหูฟังแล้วนะ

img_0029

iPhone 7 เป็นไอโฟนรุ่นแรก ที่หาญกล้า ตัดรูเสียบหูฟัง 3.5mm ออกไปครับ โดยให้เหตุผลว่า ถึงเวลาสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับอุตสาหกรรมนี้ สิ้นยุคหูฟังแบบ analog โดยต่อไป ต้องเสียบหูฟังผ่านพอร์ต Lightning พอร์ตเดียวกับที่เราใช้ชาร์จไฟให้กับไอโฟนเท่านั้น หรือเลือกใช้หูฟังแบบไร้สายแทน โดยในกล่อง iPhone 7 ทุกรุ่น จะแถมหูฟัง EarPods แบบที่ใช้หัว Lightning มาให้ 1 ชุด (และมีขายแยกด้วยในราคา 1,200 บาท – ราคาเท่ากับรุ่นที่ใช้หัว 3.5mm ตัวเดิม) บวกกับใจดี มีเมตตา แถมสายแปลงหัว Lightning เป็นรูเสียบหูฟัง 3.5mm มาให้ฟรีอีก 1 เส้น เพื่อที่เราจะยังสามารถใช้หูฟังตัวเดิมร่วมกับ iPhone 7 ได้อยู่ครับ

img_0027

จากการใช้จริงมาร่วมเดือน พบว่าการตัดรูเสียบหูฟังออก ส่งผลต่อความเคยชินระดับนึงครับ หูฟังชุดเดิมที่ใช้งานประจำ ต้องเอาอะแดปเตอร์แปลงเป็นหัว Lightning มาเสียบค้างไว้ รวมถึงต้องปรับตัวไปใช้หูฟังไร้สายแทน หรืออย่างใครที่ถ่ายทอด Facebook Live อยู่บ้าง ก็อาจจะมีไมโครโฟนที่ใช้กับรูเสียบหูฟังแบบเก่าอยู่ ก็ต้องใช้หัวแปลงถึงจะเอามาใช้งานกับ iPhone 7 ได้นั่นเองครับ แต่หากใครที่ไม่ได้ใช้งานหูฟังมากนัก ใช้แค่ EarPods ของ Apple ที่แถมมาในกล่อง ก็แทบจะไม่ต้องปรับตัวอะไรเลย ดูแล้วระยะยาวไม่ใช่ปัญหาครับ มีแค่เรื่องของความเคยชินในช่วงแรกๆ เท่านั้น

AirPods หูฟังไร้สายตัวใหม่

img_3800

ในโอกาสเดียวกันนี้ Apple เลยได้ฤกษ์เปิดตัวหูฟังไร้สายของตัวเอง ในชื่อ AirPods ครับ โดย AirPods จะมาในกล่องที่หน้าตาและขนาดที่ใกล้เคียงกับไหมขัดฟันอย่างมาก แต่เป็นกล่องอัจฉริยะ ที่มีแบตเตอรีในตัว ด้านในเป็นที่เก็บหูฟังไร้สายทั้งสองข้าง ซึ่งจะชาร์จเองอัตโนมัติเมื่อเก็บอยู่ในกล่องนี้ โดยหูฟังเมื่อชาร์จเต็ม จะฟังได้ต่อเนื่องนาน 5 ชั่วโมง ส่วนตัวกล่องเมื่อชาร์จเต็ม จะสามารถชาร์จเจ้าหูฟังคู่นี้ได้เต็มถึง 5 ครั้ง เมื่อหมดแล้ว ต้องนำกล่องนี้ไปเสียบชาร์จกับหัว Lightning ปกติที่บ้านนั่นเอง

img_3803

หูฟัง AirPods มีหน้าตาเหมือนกับ EarPods ปัจจุบันของ Apple มากครับ แต่ว่าเป็น EarPods ที่ไม่มีสาย ก็เลยจะดูสั้นๆ ด้วนๆ แปลกตาไปหน่อย น้ำหนักเบา ตัวเล็ก และลื่นพอสมควร มีโอกาสหล่นได้ง่ายหากยังไม่ชินครับ ทันทีที่เปิดกล่องออกมา หากมีไอโฟนอยู่ใกล้ๆ ก็จะมี pop-up เด้งขึ้นมาถามว่าต้องการจะ Connect หรือไม่ เป็นอันเสร็จสิ้นการแพร์หูฟังไร้สายชุดนี้ ง่ายมาก สะดวกมาก

img_3798

ลักษณะตอนสวมหูฟัง AirPods ก็อาจจะดูแปลกตาอีกเหมือนกันครับ ส่วนคนที่สงสัยว่าหลุดได้ง่ายมั้ย ก็ยืนยันว่า ไม่ง่ายเลย ผมลองกระโดดๆ และสะบัดศีรษะดู ก็ไม่มีการหลุดออกมาเอง (หลุดง่ายหรือไม่ ลองกับหูฟัง EarPods ปัจจุบันดูก็ได้ครับ มันคือทรงเดียวกัน) นอกจากนี้ เรายังสามารถใช้มือแตะที่ AirPods สองครั้ง เพื่อเรียกการทำงานของสิริได้ด้วยนะ แต่น่าเสียดายที่ AirPods ไม่สามารถควบคุมฟีเจอร์อื่นๆ ได้ เช่นไม่สามารถเพิ่ม/ลดเสียง รวมถึงไม่สามารถเปลี่ยนเพลง หรือเลือกรับสายสนทนาได้ครับ ต้องทำจากในไอโฟน หรือผ่าน Apple Watch แทน

AirPods สามารถใช้งานได้กับไอโฟนรุ่นก่อนหน้าด้วย ไม่จำเป็นต้องเป็นไอโฟน 7 แต่อย่างใด และไม่ได้แถมมากับไอโฟน 7 นะครับ แต่วางจำหน่ายแยกต่างหาก ในราคาชุดละ 6,900 บาท และคาดว่าจะวางจำหน่ายในช่วงปลายเดือนนี้แล้ว

อุปกรณ์เสริม

img_0095

iPhone 7 และ iPhone 7 Plus ออกมาพร้อมกับอุปกรณ์เสริมใหม่ เช่น เคส ทั้งเคสหนัง และเคสซิลิโคน ที่ออกแบบมาสำหรับใช้งานแบบตรงรุ่นโดยเฉพาะ เนื่องจากตำแหน่งของกล้องใน iPhone 7 / iPhone 7 Plus นั้นแตกต่างจากใน iPhone 6s / iPhone 6s Plus จึงไม่สามารถใช้เคสเดิมได้ครับ

review-iphone-7_-2

สำหรับฟิล์มและกระจกกันรอย เท่าที่ผมได้เดินสำรวจตลาดดู ก็พบว่าเริ่มมีวางจำหน่ายฟิล์มและกระจกกันรอยแบบตรงรุ่นกับ iPhone 7 และ iPhone 7 Plus บ้างแล้ว โดยเฉพาะฟิล์มด้านหลังเครื่องที่ออกแบบมาแนบสนิทพอดีกับรอยเว้าของกล้อง และด้านหน้าของตัวเครื่อง อย่างของ Focus ที่นอกจากมีฟิล์มและกระจกรุ่นปกติ ก็เริ่มมีรุ่น 3D Full Frame ที่ครอบคลุมไปถึงขอบจอโค้งๆ รอบตัวเครื่อง  จำหน่ายตรงรุ่นกับ iPhone 7 และ iPhone 7 Plus เช่นกัน และมียังฟิล์มสำหรับกันรอยกล้องด้านหลังของ iPhone 7 Plus แถมมาด้วย พวกรุ่นเต็มจอนี่พอติดแล้วก็จะเนียนๆ ดูไม่ค่อยออกว่าติดกระจกกันรอยมาแล้ว

ความจุ / รุ่น / วันวางขาย

iphone7plus-lineup

iPhone 7 และ iPhone 7 Plus มีให้เลือกทั้งหมด 5 สี ใน 3 ขนาดความจุ ซึ่งเพิ่มขึ้นกว่ารุ่นเดิมเท่าตัว คือรุ่น 32GB, 128GB และ 256GB ยกเว้นสีดำเงา Jet Black ที่จะมีให้เลือกเฉพาะความจุ 128GB กับ 256GB เท่านั้น เริ่มเปิดจองในไทยเมื่อวันที่ 14 ต.ค. ที่ผ่านมา และได้วางขายอย่างเป็นทางการวันที่ 21 ต.ค. ผ่านช่องทางการวางจำหน่ายหลักของ Apple ไม่ว่าจะเป็นผู้ให้บริการมือถือทั้ง 3 เครือข่าย (AIS, dtac, Truemove-H), ตามหน้าร้านตัวแทนอย่าง iStudio, Studio7, Powerbuy, ฯลฯ รวมถึงช่องทางออนไลน์ของ Apple Store ที่เว็บไซต์ www.apple.com/th ด้วยราคาที่แตกต่างกันไปตามแต่แพ็กเกจ และการผูกสัญญากับค่ายมือถือแต่ละค่าย

พบกันใหม่รีวิวหน้า สวัสดีครับ

img_0048

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save